ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คณะคุณหญิง

๓ เม.ย. ๒๕๕๒

 

คณะคุณหญิง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


โยม ๑ : ไม่กล้าพูด หลวงตา..... (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : ที่ไหน

โยม ๒ : ดูเขาเล่นคอมพิวเตอร์

หลวงพ่อ : ใช่! กรณีบ้านตาดนี่ กรณีบ้านตาดมันเป็นบทเรียน เพราะอะไร เพราะหลวงตาท่านเข้มมาก พอท่านเข้มมากปั๊บนี่ ท่านจะไม่ให้ไปทางโลกมาก นี่พอไปทางโลกมาก กรณีเรื่องของเทคโนโลยีนี่ มันจะต้องละเอียดอ่อน พอต้องละเอียดอ่อนปั๊บ เพราะที่บ้านตาดนะ มีคนมาปรับทุกข์กับเราเยอะ เพราะทุกคนอยากได้บุญ

ในวัดขาดเหลืออะไร ก็พยายามจะตอบสนอง พอตอบสนองไป พวกที่เขาทำ พวกมืออาชีพนี่ เขามาบอกเลย บางทีมีพระอยู่ที่บ้านตาดนี่ เขาแบบว่าจะแก้ไขจะไปแต่งน่ะ ถอดคอมพิวเตอร์ออกหมด โยมก็บอก “ครูบาอย่าทำนะ ครูบาอย่าทำนะ ถ้าครูบาถอดแล้วครูบาประกอบไม่ได้หรอก” เขาก็ฝืนทำ มีหลายเครื่องมากที่แกะแล้วกองอยู่ที่นั่น นี่เขามาเล่าให้ฟัง แล้วทีนี้อย่างที่โยมพูดน่ะมันมีคอมพิวเตอร์ที่บ้านตาดเกือบร้อยเครื่อง

โยม ๑ : ต๊าย! ข้าน้อยยังนึกว่ามีไม่กี่องค์ โธ่ โธ่ โธ่....................

หลวงพ่อ : เป็นร้อย เรารู้หมด นี้พออย่างนั้นปั๊บ อย่างที่ว่าพอกลับแล้ว มันก็จะ.. ก็ธรรมดา มันมีเป็นอย่างนี้ เรารู้ๆ ที่พูดนี่นะ ไม่ได้พูดโดยที่ว่า หลวงตาเราเคารพนะ เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราเหมือนกันนะ แต่ทีนี้เรื่องการทำงานไปแล้วนี่ เฟืองตัวใหญ่นี่ต้องการให้เฟืองตัวเล็กทำดีทั้งหมดแหละ

แต่เฟืองตัวเล็กนี่ควบคุมตัวเองไม่ได้ นี้พอเฟืองตัวเล็กควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็เอาสิ่งนี้เข้ามา พอเอาเข้ามา เพราะ ถ้าเราไม่เห็นหรือเราไม่รู้นี่ เราก็ไม่มีความรู้สึก ถ้าคนที่ไปเห็นหรือคนที่ไปรู้ หรือคนที่เข้าไปจัดการ หรือคนที่เข้าไปบริหาร คนที่เข้าไปเวลามันเสียต้องเอาไปซ่อม ต้องเอาไปบำรุงรักษานี่

คนที่เขาไปเห็นกันแล้วนี่ เขามาคุยกับเราไว้เยอะพอสมควร เพราะฉะนั้นเราถึงตัดปัญหานี้ไง ต่อไปนี้เราจะตัดเลย พอตัดเลยมันก็เป็นโลกเกินไป อย่างเช่น เราจะตั้งสำนักงานอยู่ข้างนอกนี่ เราบอกว่า คอมพิวเตอร์ทั้งหมดต้องไปกองอยู่ที่นั่น พระเรานี่จะยุ่งไม่ได้เลย

ทีนี้พระยังรู้ไม่ได้เลย พระเราจะคุมนโยบาย เราจะให้พระบริหารจัดการเข้าไปคุมนโยบาย แล้วพวกนี้นะ เราก็จะมีพวกโยม เขาจะเข้ามาช่วย มันมีหลายคน บอกทุกคนเข้ามาเลย โทษนะ เขาก็เข้ามาหาเรา บอก หลวงพ่อ หนูจะทำให้ หนูจะแปลภาษาอังกฤษ อย่างนู้นอย่างนี้ เขาก็เข้ามาคุยกับเรา

โยม ๑ : อ้าว เป็นพระอรหันต์ก่อนถึงจะแปลได้

หลวงพ่อ : ใช่ๆ เราเข้าใจแบบนี้ แต่ทุกคนน่ะ เขาจะเข้ามาขอแบบว่า อาสาสมัครเรานี่เยอะมาก แต่ถ้าประสาเรานี่ ความตั้งใจของเขา ความมีเจตนาของเขา เขาเจตนาดีเขาทำดีเราก็รับฟังไว้ แต่ โทษนะกูไม่เอาหรอก (หัวเราะ) กูไม่เอาเด็ดขาด! แต่! เราจะบอกไม่เอา หรือเราจะไปปฏิเสธเขา ก็เสียความรู้สึกเขา

โยม ๒ : เสียน้ำใจ

หลวงพ่อ : เสียน้ำใจ เขามีน้ำใจ เขามาหาเราเยอะมาก ที่บอกว่า หนูจะช่วยๆ อะไรอย่างนี้น่ะ เพราะมาพูดอย่างนี้ มันก้อง มันไม่ดีมันอะไรก็แล้วแต่ ไม่เป็นไรๆ ประสาเรานะ โยมได้ฟังก็บุญตายห่าแล้ว

โยม ๒ : เหมือนฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง

หลวงพ่อ : เพราะเราเมื่อก่อนเราไม่ได้ออกเลย เพราะเราทำของเราไปไม่ได้น่ะ ถ้าออกไปก็ไปข้องเกี่ยวกับโลกมากเกินไป ถ้าเกี่ยวกับโลกมากเกินไป คอมพิวเตอร์ต้องเยี่ยมใช่ไหม พลังงานต้องนิ่งใช่ไหม โยมเข้าใจถูกใช่ไหม แล้วเราจะทำอย่างนั้นปั๊บนี่ เราจะลงทุนเท่าไร เพราะปลายสายนี่ ไฟแม้แต่ซัมเมิร์ทยังดูดน้ำไม่ได้เลย ซัมเมิร์ทยังไหม้

โยม ๒ : ใช่ ถ้าต่างจังหวัดอย่างนี้ ค่าไฟยังแพงอีกต่างหาก

หลวงพ่อ : ปลายสายทุกอย่างนี่ คุณภาพพลังงานมันใช้ไม่ได้ พวกโยมอยู่ในกรุงเทพฯ พลังงานมันนิ่ง ทุกอย่างมันพร้อม ทำได้หมดล่ะ แต่ไปอยู่ในป่า ถ้าจะเอาอย่างที่โยมต้องการนี่

คานธีนะ แสดงความมักน้อยสันโดษ คานธีเวลาไปไหนต้องเหมารถไปทั้งขบวนน่ะ สร้างภาพน่ะ ไอ้ที่มักน้อยๆ ไอ้อยู่ป่าๆ น่ะ ถ้าจะเอาพลังงานที่นิ่งนะ เราต้องใช้พลังงานมากกว่า อย่างเช่น ทางยุโรปนี่ คนจนอยู่บ้านนอกไม่ได้ คนที่อยู่ในป่าได้ คนอยู่ในบ้านนอกได้ต้องเศรษฐี เพราะเขาต้องพึ่งพลังงานของเขาเอง คนจนต้องอยู่สลัม

ทีนี้พอพวกฝรั่งเข้ามาอยู่ในเอเชีย มาอยู่ทางตะวันออก คนจนเรานี่ อยู่บ้านนอกกัน เราอยู่ได้เพราะอะไร เพราะภูมิอากาศของเรา เรามีแค่กระต๊อบหลังหนึ่งเราอยู่ได้แล้ว ยุโรปอยู่ไม่ได้ หน้าหนาว หนาวตายเลย ต้องให้ความอบอุ่น ทุกอย่างพร้อม นี่ มันกลับกัน

นี้เราไม่ได้มองตรงนี้ พวกเราไม่เข้าใจ แต่นี้มีคนจะพูดตรงนี้มาก ก้องบ้างอะไรบ้าง มันเป็นเพราะมันเป็นบางม้วน บางแผ่น หรือว่า พระเราก็ตั้งใจทำดีอยู่แล้ว แต่เวลาไร้ท์นี่ เมื่อก่อนนะ ปีที่แล้วไปเทศน์ที่วัดอโศฯ(วัดอโศการาม) เราบอกว่าจะไปเทศน์ที่วัดอโศฯ เพราะวัดอโศฯ เขามานิมนต์ไป เราก็บอกว่า เฮ้ย จะไปเทศน์ที่วัดอโศฯ ผู้มีความสามารถจะไร้ท์ซีดีไปแจกบ้างไหม พระก็ไม่เข้าใจใช่ไหม มีครับๆ ไร้ท์กันทีเป็นพันเลยนะ พอไปแจกแล้วไม่มีเสียงเลย เพราะนี่ คอมพิวเตอร์ ถ้ามันเกิดมีความร้อนแล้วนี่มันไม่ติด

นี่ประสบการณ์เราเห็นไหมเราต้องล้มลุกคลุกคลาน เพราะเราทำกันเอง แล้วประสาเรานี่ ใต้ดิน แอบทำ คือไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่ง ถ้าใครเข้ามายุ่งแล้วนี่มันจะวุ่นวาย นี้พอไปแอบทำนี่ พวกเราก็ไม่มีประสบการณ์ ที่ทำนี่ทุกคน พระนี่เขาก็เล่นคอมพิวเตอร์กันอยู่แล้วน่ะ เมื่อก่อนบวชไง พอมาอย่างนี้ เขาคิดว่าเขาเล่น เขานึกว่าทำได้ไง พอเขามาทำจริงแล้วทำไม่ได้

พอไรท์ออกไปแล้วนะ เอาไปแจกนะ ไม่มีเสียงเลย แจกแผ่นเปล่าๆ ไม่มีอะไรเลย เพราะอัดทีเป็นพันน่ะ แล้วพอตอนหลังนี่ ทีแรกเราก็ไม่เข้าใจ พอบอกว่าทำไมไม่มีเสียง เราก็มาปรึกษาลูกศิษย์ ลูกศิษย์บอกว่า ธรรมดานี่พอเครื่องมันร้อนมันเป็นไปไม่ได้ ทีนี้พอพระเข้าใจปั๊บนี่ ตอนนี้เห็นไหม ทำเสร็จก็มาอัด ๕๐ แผ่น ๑๐๐ แผ่น ทุกวัน มาไรท์พวกนี้ไรท์ไว้เก็บไว้ เอาไว้ให้เราแจก แล้วพอทำไปแล้วเครื่องมันร้อน

พวกโยม.....มา เขาจะติดแอร์ให้อะไรให้ ไม่ไหวหรอก อย่าทำเลย ขี่ช้างจับตั๊กแตน มันยังไม่สมควรหรอก เพราะมันติดแอร์ เขาจะทำอะไรให้หมดเลย พอทำไปแล้วนี่ เพราะของเรา เราไม่ได้ทำมาเพื่อเหตุนั้น ก็ห้องเราเห็นไหม ดูสิเห็นไหม อากาศมันถ่ายเทได้หมดน่ะ แล้วติดแอร์ได้ไง แต่ถ้าเราจะถึงเวลาแล้ว เราเห็นสภาพแล้วนี่ เราจะทำข้างนอก ถึงตอนนั้นแล้ว ถ้าจะทำจริง ทำจริงเลย แล้วอย่างที่ว่านี่ ตัดภาระ มันต้องเด็ดขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง

เราอยู่บ้านตาดนะ ลูกศิษย์มาหา หลวงพ่อ.. หลวงพ่อไปดูสลัมในครัวสิ ตอนที่มาอยู่กับพวกเรานี่ ไปดูสลัมในครัวสิ เราก็ไป พยายามจะเข้าไปนะ ไปถึงก็ไปบอกพวกไอ้.....ว่า ขอเข้าไปดูหน่อยน่ะ อยากเห็นว่ะ .....บอกว่า “หลวงพ่ออย่าเข้าไปเลย ตากเสื้อผ้ากันดูไม่ได้เลย หลวงพ่ออย่าไปเห็นดีกว่า” เราจะเข้าไปโดยพลการนี่ เราก็ไม่ทำหรอก เพราะเราเคารพหลวงตา กติกาของที่นั่น กฎของที่นั่น

โยม๑ : ไม่ให้พระเข้าไป

หลวงพ่อ :ถ้าเราเคารพอาจารย์ เราอย่าละเมิดกฎที่อาจารย์ตั้งไว้

หลวงตาบอกว่า พระเรานี่ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป คือธรรมวินัยนี่ท่านบัญญัติไว้แล้ว เราไปเหยียบย่ำนี่ เท่ากับเราไม่เคารพครูบาอาจารย์ ทั้งที่เราเดินเข้าไปก็ได้แต่เราไม่ทำ เราไปขอไอ้..... .....ก็บอกไม่ให้ เราเข้าไปที่กุฏิหลวงตานะ ไปบอกพวก ตชด.ที่อยู่ที่นั่น ว่าขอเข้าไปดูหน่อยได้ไหม พวก ตชด. บอกว่า หลวงพ่ออย่าเข้าไปเลย ถ้าหลวงพ่อเข้าไปนะผมหัวขาดเลย เพราะถ้าหลวงพ่อเข้าไปนะ

โยม ๑ : เมื่อก่อนนี้ท่าน..... เข้าไปบ่อยไป เข้าไปข้างใน เวลามาไปหา....กัน

หลวงพ่อ : นั่นคือน้ำใจเขา น้ำใจเขากับน้ำใจเรามันไม่เหมือนกัน ใจเขากับใจเรามันคนละใจ

โยม ๑ : ถึงรู้ว่าคนละแบบ

หลวงพ่อ : ถ้าใจเราเป็นอย่างนี้เราก็ไปบอกพวก ตชด. ถ้าหลวงพ่อเข้าไป ผมหัวขาด เพราะถ้าหลวงพ่อเข้าไปปั๊บนะ พวกโยมเขาเห็น พอโยมเขาเห็นต้องไปถึงหลวงตา พอถึงหลวงตา ผมก็ตาย เห็นไหม เพราะเราอยู่บ้านตาดมาตั้งแต่นั้นแล้ว เรารู้ อย่างนี้เรารู้หมด อย่างที่โยมเอ่ยชื่อมาเมื่อกี้นี้ เขาทำกัน เขาเข้าครัวกัน อะไรกันน่ะ แต่เราไม่เคยทำ เพราะหลวงตาพูดคำไหนแล้วนะ เราจะไม่ก้าวล่วง

ถ้าท่านตั้งอะไรขึ้นมาแล้ว เราจะไม่ก้าวล่วงเพราะนิสัยเราเป็นอย่างนี้ แต่พระไม่เข้าใจ เวลามีอะไรไปฟ้องไง ไปฟ้องหลวงตาว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ มีอยู่ทีหนึ่ง เราอยู่ที่นั่น แล้วเขาก็บอกว่า เราละเมิดว่าอย่างนั้นเลย อย่าเอ่ยชื่อเลย เราเข้าไปหาเขาเลย ไปหาพระกลุ่มที่ว่าเราละเมิด คือจะไปฟ้องหลวงตากัน เราพูดคำนี้ บอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ หลวงตาตั้งคำไหนแล้วเราไม่เคยทำอย่างนั้นเลย เป็นไปไม่ได้

แล้วถ้าจะฟ้องนะ ไป! เรานี่ชวน เราท้าทายพระมาก ไปหาหลวงตากันเดี๋ยวนี้ คือต้องต่อหน้าไง นิสัยเราจะทำอะไรต่อหน้าไม่มีลับหลัง แต่ไม่กล้า

โยม ๒ : เล่นตรงๆ

หลวงพ่อ : โยมนะ เราจะปฏิบัติ คนจะปฏิบัตินี่ เราต้องเป็นสุภาพบุรุษ ถ้าไม่สุภาพบุรุษนะ นิวรณธรรมกั้นจิต นิวรณธรรม อะไรนะ ลังเล วิจิกิจฉา ความสงสัย ความกังวลใจ ภาวนาไม่ได้หรอก แล้วถ้ามึงจะทำอะไรกันนะ ชัวร์ๆ

เราเคยจูงมือพระขึ้นไปหาหลวงตาหลายทีแล้ว สะบัดมือหนีหมดน่ะ สะบัดมือหนีเลย เก่งแต่ปาก นี่พอทำอย่างนั้นไปแล้วนี่ พออย่างนั้นปั๊บ นี่ที่เวลาหลวงตาท่านพูด เพราะท่านเคารพหลวงปู่มั่น ทำอย่างนั้นก็เพื่อให้ท่านทำตาม ถ้าเราไม่เคารพ ไม่บูชานี่ มันเหมือนกับเรากะล่อน เราไปอยู่กับท่าน แล้วเรากะล่อน กะล่อนหลอกตัวเองหรือยัง แล้วจะมานั่งภาวนาน่ะ มึงอย่าตอแหล

ดูหลวงปู่ลีสิ เมื่อกี้เพิ่งดูนี่ ธรรมดาตอนนี้เราไม่ค่อยรับแขก เพราะเราจะดูหลวงตา แต่เมื่อกี้ หลวงตาไปผาแดง วันที่ ๘ ไง เขาเอามาออกก่อน แล้วนี่ๆ เทศน์ตอนเช้า เมื่อกี้เห็นเลย หลวงตาท่านเทศน์อยู่นี่ หลวงปู่ลีท่านไปนั่งอยู่นู้น นั่งอยู่นู้น ไม่เสนอหน้าหรอก ด้วยความเคารพ ด้วยหัวใจนี่ ถ้ามีด้วยหัวใจนะ อย่างนี้นะ หลวงตาท่านถึงไว้ใจ ท่านไว้ใจเพราะอะไร ท่านพูดคำไหน ท่านทำอย่างไรแล้ว พวกนี้รับประกันได้เลยไม่ย้อนศร ที่ไม่เป็นขี้กลาก

แต่ถ้ามีกิเลสนะ ท่านพูดอะไรปั๊บ ท่านว่าอย่างนี้ๆ อวดเก่งกว่าไง รู้ไหมหลวงตาท่านว่า อย่างนี้ๆ โทษนะ ภาษาเรานะ ส้นตีน! ไง มึงรู้อะไร โทษนะที่ต้องพูดอย่างนี้ ถ้าไม่พูดอย่างนี้เราไม่อยากพูด พระอย่างนี้เราไม่คบเลย อ้างหลวงตาแล้วจะอวดว่าตัวเองรู้ดีกว่า รู้เหนือกว่า

ประสาเรานี่ เอาหลวงตาเป็นฐาน แล้วตัวเอง ความสำคัญไง แต่ถ้าเป็นพวกเรานะ หลวงปู่ลีท่านพูดนะ เราจะซึ้งมาก เวลาท่านมีอะไรนะ ฟังเพิ่นพูดสิ หลวงปู่ลีท่านพูดคำนี้บ่อยมากเลย ฟังท่าน ฟังหลวงตาท่านพูดสิ ฟังหลวงตาพูดก็จบแล้วไง เราไม่ต้องมาตีความไง

แต่พวกนี้ๆ มันชอบตีความ ตีความว่า กูเหนือกว่า กูเก่งกว่า กูรู้กว่า แล้วก็จะเอาแต่ความเห็นของตัว ถ้าตีความแล้ว ก็เอาหลวงตาเป็นฐานเฉยๆ แต่เอาความเห็นของตัวใหญ่กว่าไง ก็คือ ต้องการน่ะ คืออยากรู้ อยากทำ อยากเป็นของตัวนั้นน่ะ แต่บอกว่า หลวงตาว่าอย่างนี้ พวกเอ็งไม่เข้าใจ กูรู้ เอ็งไม่รู้ เวรกรรมๆ

นี่ด้วยประสบการณ์อย่างนั้นๆ เราถึงจะทำข้างใน เราจะทำของเรา ค่อยๆ ทำของเราไป ไอ้อย่างที่โยมพูดนะ เข้าใจนะ เสียงก้อง ฟังอะไรนะ ฟังไม่ได้เลยน่ะ ไม่จริง

โยม ๑ : ฟังไม่มัน (หัวเราะ) ไม่มันเหมือนมาฟังท่านอาจารย์พูด

หลวงพ่อ : จะเอาชัดเจน จะเอาอะไรอย่างนั้น มันต้อง..

โยม ๑ : ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ เขามีเครื่องที่มันดูดเสียงอะไรออก

หลวงพ่อ : เดี๋ยวๆ เดี๋ยวเวลาทำแล้วนะ เพราะเดี๋ยวเวลาทำแล้วนะ เราไปแจกนะ เราไปให้พวกพระนะ พระที่เขาอยากน่ะ เขาบอกว่า ทำไมไม่มีปก ทำไมไม่มีอะไร เวรกรรมเอ้ย ....... เดี๋ยวๆ เราจะบอกเลย เดี๋ยวเสร็จแล้ว เราจะมีเครื่องพร้อมเลย ไม่รีบกลับเนอะ

โยม : ไม่ค่ะ

หลวงพ่อ : เขาจะมีปกมีอะไรกันนะ มี ไอ้นั่นมันประชาสัมพันธ์น่ะ หนังสือเราทุกเล่ม

โยม ๒ : พระอาจารย์แบบนี้ก็ดี ก็ดูเหมาะสมกับเป็นวัดป่า

หลวงพ่อ : ๑. เป็นวัดป่า ๒. ......

โยม ๒ : ถ้ามีโอกาสทำได้ก็ทำ ถ้าเผื่อไม่มีโอกาสหรืออะไรก็.....

หลวงพ่อ : เขาถ้ามีปกมีอะไรกัน ประสาเรา ประชาสัมพันธ์ตัวเองไง ไอ้พวกขี้กลาก มันชอบลามน่ะ

โยม ๑ : พระอาจารย์คะ อีกอย่างหนึ่งนะคะ ไปๆ มาๆ แล้ว ไอ้นี่มันเสียเร็วกว่าเทปอีก เทปดีกว่าไว้ได้นานกว่า

หลวงพ่อ : เทปดีกว่าเหรอ จริงๆ เหรอ

โยม ๑ : เขาแข่งกันนะเสร็จแล้ว แล้วตอนหลังที่ทางบ้านตาด องค์ที่ท่านก๊อปปี๊ขึ้นมานั้น อยากจะกลับมาใช้เทปอย่างเก่า เพราะฉะนั้นมาสเตอร์นี่ไม่เก็บเป็นอย่างนี้เลย มันเสียเร็ว

หลวงพ่อ : มาสเตอร์นี่ เราๆ เข้าไป..

โยม ๑ : แต่มาสเตอร์นี่ต้องอัดใส่เทปเอาไว้แทน ใส่คาสเซ็ตเทป

หลวงพ่อ : ไม่! เราใส่ได้เลย ไอ้นั่นน่ะ ลูกหมูน่ะ ที่เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์น่ะ เราเข้าคอมพิวเตอร์หมด เพราะอะไร ของหลวงตามาทุกอย่างเราเก็บเข้าคอมพิวเตอร์หมด เพราะอนาคตนะ ถ้าคนมันไม่เห็นคุณค่าไง ประสาเรานี่ พวกเรานี่ ถ้าเราศรัทธาใหม่ เราจะเห็นคุณค่ามาก แต่ถ้าไปคุ้นเคยจืดชืดแล้วนะ มันจะไม่มีคุณค่า ตอนนี้กำลังเห่อกันก็จะมีคุณค่า

อนาคตนะ พอครูบาอาจารย์เราล่วงไปแล้วนี่ ด้วยความใกล้ชิด ด้วยความดูดดื่มมันจะน้อยลง เดี๋ยวก็ทิ้ง ฉะนั้นไอ้ข้อมูลหลักของเรานี่ เราเก็บ แล้วถึงเวลานะ เรายังมองอนาคตไปอีกไกล พออนาคตไปมันจะมีปัญหา มันจะมีสิ่งใดอะไรเข้าไปอีกไกล.. ที่มีใช่ไหม มโนมยิทธิ เดี๋ยวนะ คณะหมอ คณะอะไร แม่ชีหัวหิน เมืองจันท์

โยม ๒ : รู้สึกจะหลังจากคณะหมอนิดหน่อย เห็นท่านอาจารย์บอกว่าก่อนหน้านั้นมีหมอ จากโรงพยาบาลมาหรืออย่างไร

หลวงพ่อ : ดูจิต คณะหมอ แก้อดอาหารนะ ต้องย้อนไปอีกๆ ในนี้ไม่มี มี.. นี้ไง เจอแล้ว แม่ชีหัวหิน เอาแม่ชีหัวหินมีไหม เอามาเลย ถ้ามีแม่ชีหัวหิน เพราะว่า วันที่ ๕ กรกฎาคม ๕๑ เพราะเรา..เราจะบอกคณะ แม่ชีหัวหินน่ะ หรือแม่ชีหัวหินข้างล่าง คณะแม่ชีหัวหิน

โยม ๑ : การปฏิบัติเบื้องต้น เอาคณะคุณหญิง

หลวงพ่อ : มีไหม ใช่ แค่นี้เอง เอาไปเลยนี่ อยู่นี่ เดี๋ยวแจกเลย คนละแผ่น ให้นับไปเลย เราก็ไม่ได้อัดนะ แต่บังเอิญวันนั้น ลูกศิษย์เขาไปชวนกันมา ลูกศิษย์เขารู้จัก เขาไปชวนกันมา เราไปเยี่ยมที่นั่น เราไปพักที่นั่น แล้วไปเทศน์ที่นั่น

โยม ๒ : ยังเป็นแม่ชีอยู่หรือคะ

หลวงพ่อ : ยังเป็นแม่ชีอยู่ แล้วเขาพามาหาเรา เขาบอกประวัติเขา เขาเล่าให้ฟังเองนะแล้วน่าสงสารมาก

เขาบอกว่า เขาทันอาจารย์สิงห์ทอง อยู่กับอาจารย์สิงห์ทองก่อน พออาจารย์สิงห์ทองเครื่องบินตก ก็ไปอยู่กับหลวงตาพักหนึ่ง แล้วไปอยู่กับอาจารย์จันทร์เรียน ออกจากอาจารย์จันทร์เรียนปั๊บ เขาไปดูในหยดน้ำ “หยดน้ำบนใบบัว” โทษนะ อย่างที่โยมพูดน่ะถูก ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ทำไม่ได้

ไอ้หยดน้ำบนใบบัวนี่ มันทำผิดไง ทำผิดหมายถึงว่า ไปเอาหนังสือหยดน้ำบนใบบัวมา นี่เราก็อ่านอยู่ หนังสือหลวงตาเมื่อก่อนนี่เราจะอ่านทุกเล่มน่ะ หยดน้ำบนใบบัว บอกว่า มีนักปฏิบัติผู้หญิงไง ที่ไปถามหลวงตาว่า นี่ดูจิตเฉยๆ แล้วจิตมันดีนี่

แล้วไปถามหลวงตาว่า ถูกไหม หลวงตาบอกว่า ถูก นี่ดีนะ ในหนังสือนั้น หลวงตาตอบพร้อมไง “นี่ดีนะเป็นคฤหัสถ์ ถ้าเป็นบรรพชิต เราจะตีให้หลงทิศเลย” เขาบอกเขาไปดูจิต แล้วจิตเขานิ่งไง จิตเขานิ่งคือสมถะ หลวงตาบอกว่า ถ้าเป็นพระนะ เราจะตีให้หลงทิศ

ตีให้หลงทิศ หมายถึงว่า จะพยายาม เหมือนที่หลวงปู่มั่น ตีท่าน ว่าเศษเนื้อติดฟัน ติดสมาธิแล้วมันไม่มีความสุขน่ะ เพราะท่านมีประสบการณ์ในการติดมาแล้ว ท่านก็จะอัดๆ อัดเพื่อจะให้พลิกออกมาเป็นปัญญา แต่นี่เพราะเป็นคฤหัสถ์ ท่านก็บอกว่า ดีนะเป็นคฤหัสถ์ ถ้าเป็นพระเราจะตีให้หลงทิศเลย

คือว่ามันมีส่วนหนึ่ง มีถูกส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็ทำให้ใจสงบได้แค่นั้นเอง แต่เพราะหนังสือมันออกไป พอหนังสือมันออกไป คนตีความ แล้วแม่ชีเขาเล่าให้ฟังเองว่า เขาอ่านหนังสือเล่มนี้ พออ่านหนังสือเล่มนี้ปั๊บ แล้วเขาก็ตามหา ตามหาผู้หญิงปฏิบัติคนนั้น จนเจอ พอเจอปั๊บ ใครเป็นอาจารย์สอน ดร. .......น่ะ อาจารย์....นั้นน่ะ เขาก็เลยตามไป อาจารย์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์

โยม ๑ : หลวงปู่ดูลย์ อ้อ! คนนั้นเอง ที่ชอบเขียนอะไรนั่น.....

หลวงพ่อ : ใช่ ดูจิต ......

โยม ๑ : อันนั้น ความจริงหลวงปู่ดูลย์บอกว่า พอมีปัญหาปั๊บ ต้องให้พระอรหันต์แก้ เขาเคยไปบ้านตาด แล้วรู้สึกเขาไม่ฟัง เพราะเขาคิดว่าเขาสำเร็จแล้ว

หลวงพ่อ : ไม่ฟัง.. เราเคยคุยกับเขาแล้ว ก็เราไปคุย.....

โยม ๑ : ................. อะไรนั้นเปล่า

หลวงพ่อ : พวกนี้ขี้ตีนหมด

โยม : (หัวเราะ) อาจารย์ๆ

หลวงพ่อ : นี่องค์หนึ่ง ที่เราพูดๆ ไว้นี่เยอะมาก แก้เรื่องดูจิต เพราะอะไร เพราะเขาไปพูดให้หมอติดไง หมอมาหาเราเยอะมาก เราบอกว่า พวกนี้ เราจะพูดนะ เดี๋ยวจะพูดนะ ขอแทรกนิดเดียว เราอธิบายนะว่าพระพุทธเจ้าสอนปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ แต่ของเขาบอกว่า จิตนี้เป็นธรรมดา ทุกอย่างเป็นธรรมดา เขาจะสอนธรรมดาวิมุตติ

โยม : โอ้โฮ! (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : ธรรมดาวิมุตติ ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ธรรมดานี่วิมุตติ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

อันนี้ คุยอันนี้แล้วย้อนกลับมาก่อนเดี๋ยวกลัวจะลืม พอย้อนกลับมานี่ พอเขาไปที่นั่นปั๊บ แล้วเขามาหาเรา นี่เขาเล่าประวัติก่อน เรายิ่งสงสารมาก เราก็ให้เขาพูดเลย เขาบอก เขาไปอยู่กับอาจารย์สิงห์ทอง ไปอยู่กับหลวงปู่จันทร์เรียน สร้างกุฏิไว้ที่นั่นเลย เขาบอกนั่งที ๗-๘ ชั่วโมงนี่ เขาไม่ไหว แต่ถ้ามาดูจิตแล้วนี่มันสบาย เราก็ไล่ไปแล้ว “สบายอย่างไร” เขาก็บอกเป็นอย่างนั้นๆ เราก็บอกเป็นอย่างนั้นๆ ปั๊บ มันชั่วคราวใช่ไหม เหตุผลนี้จนเราหมดเลย

แล้วอย่างที่ว่า เราบอกเป็นสุภาพบุรุษนี่ เรานี่ให้ลูกศิษย์เอาเทปไปให้เขา คือเราคุยกับเขา แล้วเราเอาเทปมา เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม เขาต้องรับรู้สิทธิของเขา เราก็ไปให้เขา เขาคงฟังเสร็จแล้ว เขาก็คงเอาเทปไปให้ ดร. ......ฟังด้วย เราเข้าใจ เพราะ ดร. ...... เขาไม่รู้หรอกว่า เราเคยเจอกันแล้ว

พ่อพระ.....น่ะ พระ.....นี่ เขาขอร้องให้เราไป เราไปฟังหมดแล้ว เขาพูดไปหมด เขาบอกว่าใช้ปัญญาแล้ว เราพยายามจะพูดไงว่า ปัญญาอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา คือปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอย่างที่พวกนี้ใช้น่ะ พวกนี้ ปัญญาอบรมสมาธิ คือปัญญาโดยสัญชาตญาณ สิ้นสุดของมันคือการปล่อยวางเท่านั้น แกบอกใช้ปัญญาแล้วๆ

ด้วยความสงสารของเรานะ เขาบอกว่า หลวงปู่ดูลย์สอน “ให้ดูจิตรู้จิต” ก็บอก ใช่! หลวงปู่ดูลย์สอนให้ดูจิต ดูของหลวงปู่ดูลย์หรือรู้ของหลวงปู่ดูลย์นี่ ดูแบบผู้บริหารจัดการองค์กร แต่พวกเราเข้าใจกันว่า ดูแบบนักการภารโรงหน้าองค์กรนั้น คือดูเฉยๆ นี่คำสอนของพระผู้ใหญ่ พระที่ปฏิบัติเข้าใจแล้วนี่ คำพูดของท่านมันหลาก มันตีความได้กว้างขวางมาก

แต่เราด้วยความคิดความรู้ของอวิชชา ความรู้ของเรา ความใคร่ครวญของเรา เราไปดูรู้แบบนักการภารโรง มันคนละอันกันเลย เราอธิบายให้เขาฟังไง เขาเอะใจอยู่ เขาจนด้วยเหตุผล เขากราบเลย เราพยายามจะพูดให้เขาได้เอะใจ ถ้าเอะใจ มันสะกิดใจนี่ เขาจะได้แก้ไขไง เราถึงไม่พูดแบบทำให้เขาจนแต้ม

โยม ๒ : แล้วทำไมท่านอาจารย์ไม่พูดเจาะลงไปตรงๆ

โยม ๑ : ไม่ได้ เพราะบางคนมันมี บางทีปัญญาเขาไม่ถึง

หลวงพ่อ : ไม่! ไม่! ความเข้าใจผิดของโลกเป็นอย่างนี้หมด เพราะเราคุยกับนักวิชาการเยอะมาก นักวิชาการเขาต้องการอย่างนี้ เจาะตรงๆ เลย ยิ่งเจาะตรงๆ ไป ยิ่งไปสร้างทิฐิมานะเขามากขึ้น

โยม ๒ : พระพุทธเจ้าท่านก็เหมือนคนธรรมดา เวลาที่ท่านจะสอน ท่านดูว่าคนนี้จะรับได้ไหม ท่านถึงจะสอน

หลวงพ่อ : คำว่ารับได้ไม่ได้นี่ มันอยู่ที่บารมี อยู่ที่วุฒิภาวะของจิต คนถามมากเลย แล้วเรา เมื่อก่อนเราก็แปลกใจว่า ทำไมหลวงปู่มั่นปล่อยให้หลวงตาติดสมาธิ ๕ ปี โทษนะ ด้วยวุฒิภาวะต่ำต้อยของเรา ที่เราใคร่ครวญของเราเอง

ถ้าหลวงปู่มั่นโต้แย้งหลวงตาตรงนั้น ทีนี้หลวงตาท่านติดอยู่ ท่านเข้าใจว่าตรงนี้คือ นิพพาน ถ้ายิ่งบอกนะยิ่งยึด เพราะอะไร เพราะเรารู้จริงเห็นจริง หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดถูกนะ เราเห็นนิมิต เห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง ขณะที่เรารู้ว่ายึดนี่ เราว่าเราจริง แล้วอาจารย์นี่ เหมือนเด็กเลยมันกำลังเล่นของเล่นอยู่น่ะ แล้วจะไปดึงมือออกจากของเล่นเด็กน่ะ เด็กคนนั้นจะร้องไห้ไหม เด็กคนนั้นมันจะตีโพยตีพายไหม เจาะเข้าไปนี่ เจาะเข้าไปนะ เขาตายหมด เหตุผลเขาสู้เราไม่ได้หรอก แต่! แต่เขาเกิดทิฐิมานะขึ้นมาล่ะ

กรณีอย่างนี้เรามาเทียบกับกรณีของเรา กรณีเรา เราขึ้นไปหาหลวงตาที่บนกุฏิ ตอนนั้นเหตุการณ์คล้ายๆ กันเลย มันว่างหมด มันว่างหมด พอขึ้นไปก็.. เวลาท่านเทศน์ท่านพูดอย่างนี้ มันถึงทำให้สะเทือนใจไง อย่างที่ว่า นิสัยเราสะเทือนใจ

“เทศน์สอนมานี่ เทศน์สอนมานี่ เหนื่อยยากมากเลย เราอยากฟังลูกศิษย์พูดนะว่าใครภาวนาเป็นไม่เป็นขึ้นมา เราไม่เคยได้ยินเลย”

ท่านพูดล่อ ไอ้เราก็ แหม! ขึ้นไปที่กุฏิ พอขึ้นไปที่กุฏิแล้วเราก็หมดไง ตอนนั้นมันว่างหมด อะไรหมด ก็ขึ้นไป เข้าใจว่าเด็กๆ ความรู้สึกของเด็กๆ ไง ต้องได้รับคำชมเชย

พอขึ้นไปนะ ไปถามปัญหา ท่านไล่เลย ไล่ลงกุฏิเลย ท่านถีบตกลงมาเลย พอท่านถีบตกลงมา มันก็คิดนะ มาคิดกลับมานั่งที่ร้าน ขึ้นไปหาตอนทุ่มกว่า พอหัวค่ำเข้าหาท่านได้ พอกลับลงมาประมาณทุ่มกว่า กลับมาที่ร้าน

ตอนนั้นภาวนานี่เข้มมาก นั่งสมาธิเลย ว่างหมดเลย ว่างหมดเลย ผลประโยชน์มันดีมากเลย ทำไมท่านไม่ถามสักคำ ทำไมท่านไม่พูดสักคำ ทำไมท่านถีบตกมาเลยล่ะ เสียใจๆ เสียใจมากๆ เสียใจมากๆ เสียใจๆ

ตอนนั้นความเข้าใจของเรานะ พอขึ้นไป ว่างหมดไม่มีอะไรเลย นี่มันหลงตัวมันเองไง พอขึ้นไปแล้วลงมานี่ ท่านถีบตกมานี่ ว่างหมดแล้วเสียใจมันอยู่ที่ไหน เสียใจๆ เสียใจ ขณะเสียใจมันเสียใจออกนะไม่เห็นหรอก เสียใจๆ

ประมาณ ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่มนะ เกือบตี ๑ แล้วนะ สติมันเริ่มฟื้นมาๆ เสียใจๆ เสียใจ พอมันจับ เห็นไหม ที่หลวงปู่ดูลย์สอน เห็นไหม จิต “ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต” แต่ถ้าดูออกไป ทุกอย่างเป็นเราหมด เราจะไม่เห็น พอมันเสียใจถึงที่สุดแล้วนะ สติมันทันปั๊บ

“เสียใจคืออะไร? ขนลุกหมดเลย เสียใจคืออะไร?”

ไหนเอ็งบอกว่าว่างหมดไง ไหนเอ็งว่าไม่มีไง เสียใจมันก็เป็นเวทนา ขันธ์ ๕ มันขันธ์ของจิตน่ะ พอจับเวทนาได้ปั๊บ มีความสุขแล้ว โทษนะ โอ้โฮ! มันพรึ่บน่ะ มันขึ้นนะ

“โอ้โฮ! มันตื้นตันสุดหัวใจน่ะ ลุกขึ้น กูจะกราบหลวงตาร้อยหน กูจะกราบหลวงตาพันหน กูจะกราบหลวงตาหมื่นหน”

ถ้าหัวค่ำนั้นๆ ท่านโต้แย้งมานะ โทษนะ กูจะเตรียมสู้ เพราะเรารู้ของเรามา เตรียมสู้นะ ถ้าบอกผิดนะ เถียงฉิบหาย วันนี้ๆ กุฏิแตกแน่นอน วันนี้ได้เสีย ถ้าท่านแย้งมา กูชนเต็มที่เลยล่ะ เพราะมันอาจหาญเต็มตัว ท่านถีบลงมาเลยล่ะ

กรณีอย่างนี้ พอมันจับได้อย่างที่โยมพูด ใช่ พอมันจับได้ ถ้ามันจับผู้ร้ายไม่ได้ พอมันจับได้ปั๊บ แค่จิตเห็นอาการของจิต แค่จับจิต จับกิเลสได้นี่ หลวงตาจะสอนว่า การขุดคุ้ยหากิเลสอย่างหนึ่งใช่ไหม การวิปัสสนาอย่างหนึ่ง การหากิเลสไม่เจอ วิปัสสนาอะไร เรายิงปืนไปบนอากาศไปโดนใคร แต่ถ้ามีเป้าปั๊บ ถ้าจับเป้าได้ เห็นเป้าได้จะยิงโดนเป้า

ฉะนั้นเราจะย้อนกลับมาที่หลวงตานี่ ติดอยู่ ๕ ปี

“มหาจิตเป็นอย่างไร” “ว่างครับ สบายครับ”

“จิตเป็นไง” “ว่าง ครับผม”

รอ วุฒิภาวะ สัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์ ๗ พละ อินทรีย์ ความพร้อม โอ้โฮ! อนาคตังสญาณหลวงปู่มั่นนี่ไม่ธรรมดา พอถึง ๕ ปีนี่ กลมกล่อม จนจิตมันเหมือนกับสมัย ทำไมพระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรให้ปัญจวัคคีย์ ทำไมไม่สอน เทศน์ธรรมจักรให้ปัญจวัคคีย์เลย เพราะพร้อม ดูความพร้อม พอพร้อมปุ๊บแหย่เลย

“มหาจิต เป็นไง” “ดีครับ”

“ดีบ้าเหรอ!!!”

ใส่เลย พอใส่มันกระตุกเลย เถียงเลย หลวงตาเถียงเลยนะ

“อ้าว ถ้าไม่อย่างนั้น สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน มรรค ๘ อยู่ที่ไหน” เถียงนะ

“อ้าว สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง” ต้องให้ชัดนะ ไม่ชัดไม่ลง

“สัมมาสมาธิของท่านอย่างหนึ่ง สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ สัมมาสมาธิของท่านพร้อมด้วยอวิชชาของท่าน หม่นหมองไปด้วยอวิชชาด้วยกิเลสตัณหาของท่าน”

เถียงมาสิ เถียงมา ต้องอัดทีละข้อ ต้องอัด อัดให้เข้าจนมุมเลย พอกิเลสมันจนมุม พอจนมุมปั๊บนี่ ตัวเองก็ขวนขวายหาทางออก พอเข้าไปๆ พอเข้าไปให้ออกปั๊บ พอจิตมันสงบปั๊บนี่ “จิตเห็นอสุภะ ถ้าขั้นนั้น คือขั้นอนาคามรรค” ตอนนั้นหลวงตาได้ ๒ ขั้นแล้ว ตอนที่ติดนั้นได้ ๒ ขั้นแล้ว “ขั้นแรกหมายถึง นั่งตลอดรุ่ง” พอนั่งตลอดรุ่งท่านขึ้นไปเลย พอขึ้นไปบอก เวทนาขาดอย่างนั้น พอใส่มา ท่านบอก โอ๊ย เหมือนหมาเห่าเลย พอชม เพราะอะไร เพราะมันเป็นจริง

แล้วพอนั่งครั้งต่อไป นั่งต่อไป จิตมันคืนสู่สภาพเดิมของมัน “กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส” ติดเพราะคำชม คำชมนี่ แล้วพอจิตมันขาด มันว่างหมด ก็ขึ้นไปรายงานท่าน รายงานท่านว่านี่

“เป็นอย่างนั้นเลย ว่างหมด”

“เป็นเหมือนเราเลยๆ เป็นเหมือนเราที่ถ้ำสาริกา ที่ถ้ำสาริกา พอจิตเรารวม ราบเป็นหน้ากลองเลย นี่ก็ราบเป็นหน้ากลองเลย พอชมปั๊บ ภาวนาขึ้นมาแต่ละชั้นมันยังเป็นเด็กอยู่ พอได้รับคำชมปั๊บ แล้วมันมีความสุขในอันที่มันปล่อย ก็ไปถามอีก เพราะอยากได้อย่างนี้

“มันจะบ้าเหรอ มันก็ได้หนเดียวเท่านั้นแหละ”

คนเราน่ะ ทำอาหารสุก ขณะที่ทำอยู่ก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ แต่ขณะสุกต้องหนเดียว ขณะจิตต้องครั้งเดียวเท่านั้น พอกิเลสขาดแล้วคือขาดเลย นี่ก็นึกว่าครั้งเดียวเท่านั้นน่ะ พอครั้งเดียวเท่านั้นมันจะไม่มี ๒ อีกไง ก็เลยติดเลย

โอ้ เราจะจับคำสอนของครูบาอาจารย์ แล้วท่านจับเทคนิค แล้วเวลาสอนนี่ มันติด อย่างไร คำพูดอย่างนี้ ทำไมไม่จี้เข้าไป จี้เข้าไปเสียเลย ยิ่งเกิดทิฐิมานะว่ากูถูก แทนที่ว่ามีโอกาสจะได้เปลี่ยนแปลง กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพราะมีทิฐิมีมานะ เพราะกิเลสมันหนุนไง โอ้ แก้จิต หลวงปู่มั่นพูดซึ้งมาก

“พระที่ปฏิบัติแล้วนี่ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าแก่แล้วนะ ถ้าผู้เฒ่าตายไปแล้วนี่ คนแก้จิตมันหายากนะ”

“ไม่เป็นพูดไม่ได้ ไม่เป็นแก้ไม่ได้” คำถามนี่ เราฟังวิทยุหลวงตาตลอดมา เราบอกเลย คนถามปัญหานี่ผิดทั้งนั้นเลย เมื่อก่อน ก่อนหน้านี่ เกือบ ๒-๓ ปีมาแล้ว เราบอก.....ภาวนาไม่เป็น

โยม : ใช่

หลวงพ่อ : เราไม่เคยเจอหน้าเขา เราไม่เคยเห็นตัวเขา เพราะคำถามของเขา “ว่างเลยครับ ว่างเลยค่ะ ไม่มีอะไรเลย ว่างสบายมากเลยค่ะ” “แล้วพิจารณากายอย่างไร” อีก ๕ เดือน ๖ เดือน ก็มา “ว่างเลยค่ะ ว่างเลย” “แล้วพิจารณากายอย่างไร” พิจารณากายไม่เป็น

โยม ๑ : เขาเริ่มต้นมาแต่สมาธิไหม เขาเริ่มต้นตั้งแต่ไม่มีสมาธิ หลวงตาไปจับเขาเข้าอานาปานสตินะ ตอนแรกเขาบอกในที่นี่ พวกเทวดาที่เขาเข้ามาจากอินโดนีเซีย บอกว่าไม่ต้องภาวนาหรอกอยู่เฉยๆ แล้วก็ตอนนี้ก็จะสำเร็จไปแล้ว

หลวงพ่อ : นี่ไงๆ คำอย่างนี้ มันก็จะหลอก

โยม ๑ : นี่ แล้วท่าน..... ยังเชื่อเขาเลย เราก็เลยนึกถึงว่า แล้วท่าน..... เป็นไงล่ะอย่างนี้

หลวงพ่อ : เราไม่เชื่อหมด พวกนี้เราไม่เชื่อหมด เพราะอะไรรู้ไหม ถ้าคนเป็นน่ะ ฟังทีเดียวก็ออก คำถามนี่มันบอก โยมไปหาหมอ โยมเจ็บไข้ได้ป่วย โยมต้องพูดตามความจริง เขาพูดออกมาน่ะ นั่นวุฒิภาวะของเขา กึ๋นของเขามีเท่านั้น เราฟังคำถามนะ ทีแรกนะเราก็ชื่นชมไปกับเขา เพราะเขาเห็นนู่นเห็นนี่ เราก็ชื่นชมนะ

แต่พอฟังไปฟังมา ไอ้นี่มันภาวนาไม่เป็นนี่หว่า มันวนไปวนมา อยู่ที่เก่า ถ้าคนเป็นนะ เรารักษาไข้หายแล้วนี่ เราจะรักษาไข้ที่ละเอียดต่อไปอย่างไร เราปวดหัวตัวร้อนนี่เราหายแล้ว แล้วต่อไปเราจะทำอย่างไรให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นมา มันเป็นขั้นๆ ขึ้นไป เราหายแล้ว เราไปบอกหมอว่า เราหายแล้ว แต่ทำไมยังปวดหัวอยู่เลย ยังมึนๆ ร่างกายไข้ยังขึ้นอยู่เลยนะ อ้าว แล้วมึงหายได้ไง

คำถามนั่นนะ กลับไปนะไปบอกอาจารย์..... นะ นี่ฝากเลยนะ นี่งานนะ กลับไป บอกอาจารย์..... ว่า พระสงบฝากมา ให้ไปเอาปัญหาถาม-ตอบของหลวงตาเล่มปกขาวน่ะ ปัญหาถาม-ตอบของหลวงตา หนังสือปัญหาถาม-ตอบ บอกอาจารย์..... ว่า เราขอ ให้เอาหนังสือเล่มนั้นมาอ่านออกอากาศ หนังสือตอนถาม-ตอบของหลวงตาเล่มแรกน่ะ

โยม ๑ : ปัญหาตามคำถามคำตอบเล่มแรกที่หนาๆ ที่พิมพ์เล่มใหญ่ๆ ใช่ไหมคะ

หลวงพ่อ : ใช่ นั้นน่ะเนื้อหาสาระชัดเจนมาก

โยม ๑ : ใช่ๆ บางอันดี

หลวงพ่อ : ดีมากๆ บอกเลย บอกอาจารย์..... บอกว่าเราฝาก

โยม ๑ : คำถามคำตอบของท่านนั้นคมมากเลย

หลวงพ่อ : ใช่

โยม ๑ : อย่างเช่น มีคนไปถาม คือท่านยังมีเวลาไงค่ะ คือคนไปถามบอกว่า เออ ท่านอาจารย์ได้ธรรมะขั้นใด ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นดังนั้นเทอญ แล้วก็ขอข้าพเจ้าถึงนิพพานด้วยเทอญ อะไรอย่างนี้ ท่านบอกว่า เชิญคุณแซงหน้าไปได้เลย (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : นี่คำถามอันนั้นน่ะ มันเป็นคำถามที่คนถามนี่ ถามแบบเราเลยน่ะ ถามโดยส่วนตัวๆ แต่พอมา นี่มันเป็นบทเรียนเรานะ ต่อไปเราจะมีเว็บไซต์แน่นอน เราจะมีเว็บไซต์ ทุกอย่างเลย ทำอย่างนั้น เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเป็นหลักให้ศาสนาได้กลั่นกรอง ให้ศาสนาได้แสดงออก

นี่เขาถาม คำถามพอมีเว็บไซต์ เขาถามผ่านเว็บไซต์เข้ามานี่ เขาพูดผ่านมา มันซักกันไม่ได้ แล้วถ้าเกิดเขาจะดูหนังสือ เขาเขียนมานี่ มันไม่ใช่ความจริงหรอก แล้วคำถามนั้นมันไม่เป็นความจริง ถ้าพอมาอย่างนั้นปั๊บนี่ เดี๋ยวนี้ถาม-ตอบหลวงตานี่มันเป็นเรื่องนิยายธรรมะ แต่ไอ้ที่เล่มนั้นนะ มันเป็นธรรมะ เราคิดตลอดเวลา เราฟังถาม-ตอบ ที่ถามนะ มันอึดอัด

โยม ๑ : แล้วคนอ่านมันก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร

หลวงพ่อ : ไม่รู้

โยม ๑ : วรรคตอนอะไรก็ยังไม่ถูก เวลาจะพูดจะอ่านอะไร

หลวงพ่อ : แล้วทำไมไอ้ถาม-ตอบของเรา ถาม-ตอบเล่มนั้นนะ ถ้าอาจารย์..... เอามาอ่านออกอากาศ นี่มันจะแสดงออกถึงกึ๋นของหลวงตา อ่านหนังสือเล่มนั้นออกไปน่ะ กึ๋นของหลวงตา คือคำตอบของหลวงตานี่ มันจะเชิดชูธรรมะของพวกเรามาก หนังสือดีๆ ของดีๆ ของเรา ในบ้านตาดนี่เยอะมากเลย แต่ใช้ไม่เป็น ไม่รู้จักใช้ แล้วนี่ แล้วจะฝาก ฝากไปบอก ให้บอกอาจารย์ให้ช่วยอย่างนั้น อาจารย์สั่งอย่างนั้น

โยม ๒ : ไม่มีใครกล้าบอกไง

หลวงพ่อ : เราฝากไป บอก เราบอกหลายเรื่อง บอกว่า ไอ้พวกธรรมบทอะไรพวกนี้ไม่ต้องเอามาอ่าน

โยม ๑ : โอ๊ย เพราะอะไรรู้ไหม พอไปถามถึงว่า ท่านอาจารย์ไปเอาอะไรมาอ่านน่ะ เอามาจากหนังสือเล่มไหน ไปขอคนที่เป็นปริยัติน่ะ ............น่ะค่ะ เอามาอ่าน

หลวงพ่อ : โทษนะ

โยม ๑ : เพราะฉะนั้น บางตอนที่เราอ่านแล้วฟังก็รู้ว่ามันไม่ใช่น่ะ

หลวงพ่อ : ไม่ใช่ เราบอกว่าอย่างนี้ เราสั่งไปแล้วรู้สึกว่าจะมีขึ้นมา .......เขาทำไว้ดี .......ทำไว้ดีตรงไหนรู้ไหม .......นี่เขาไปจับวรรคทองของหลวงตามาออกอากาศนี่ เราบอกให้ทำอย่างนั้น วรรคทองของหลวงตานี่ วรรคทองหลวงตา เวลาท่านพูดนี่ ทั้งกลั่น บางทีบางวรรคบางตอนนี่มันจะกินใจมาก ตัดตรงนั้นนะ แล้วอ่านเสียงเพราะๆ ออกอากาศ แล้วรู้สึกว่ามันจะมีขึ้นมาบ้าง เราสั่งไป แล้วเพราะอะไรรู้ไหม นี่พระอรหันต์พูด ออกมาจากธรรม อย่าไปเอาตำรามาพูด ตำรานี่มันควรกับปริยัติ มีคนน่ะ

โยม ๑ : แต่ว่า บังเอิญนะค่ะ อันนี้มันโดยบังเอิญไอ้ธรรมบทของท่านอาจารย์..... นี่ คือตอนแรกท่านอ่านสำหรับให้ครูโรงเรียน ครูโรงเรียนบ้านตาดนี่

หลวงพ่อ : ไม่! ไม่! ไม่! ไม่! อยู่ที่วุฒิภาวะของคน กึ๋นเขามีเท่านั้น

โยม ๑ : ก็ถูกค่ะ แต่ว่าไอ้จุดประสงค์ที่อ่านตอนแรกไม่ใช่เอามาออกอากาศอย่างนี้ แล้วเขาจะเอาไปให้เด็ก

หลวงพ่อ : กึ๋นๆ มีเท่านั้น เรารู้จักดี เรารู้จักพวกนี้ดี อยู่ด้วยกันมา เรารู้จักพวกนี้ดี ว่าอย่างที่พูดเมื่อกี้ว่า อาจารย์.....นี่ เรารู้จักพวกนี้ดี เพราะอยู่มาด้วยกัน กึ๋นมีเท่าไรรู้ ทีนี้ พอคนกึ๋นมันไม่มี พอกึ๋นไม่มีปุ๊บนี่ ทิฐิมานะมันมี หัวโขนมันมี การแสดงออกมานะผิด โลกๆ ต้องคำว่าโลก โลกเป็นใหญ่ นี่เราจะพูดตรงๆ นี่ เรารู้พวกนี้อายเรามาก เราจะไปหาใคร เราไม่หาใครหรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะตอนอยู่บ้านตาดน่ะ เขามองเราเป็นอะไรน่ะเป็นเศษเดนน่ะ เพราะตอนอยู่บ้านตาดน่ะ เรานี่เหมือนกับเศษไร้ค่าเลย เพราะมันจะภาวนาอย่างเดียว แล้วพวกนี้อยู่ด้วยกัน ตอนนี้พวกนี้จะหันกลับมาหาเรานี่ยากพอสมควร คือมันต้องทำใจตอนที่อยู่บ้านตาดเรานี่เหมือนเศษเดนคนเลยน่ะ

โยม ๒ : ท่านอาจารย์ๆ ถูกอัดมาเยอะเลย

หลวงพ่อ : ฮึ มันภาวนาอย่างเดียว

โยม ๒ : ใช่สิคะ แต่ว่าถูกรอบข้างอัดซะติดข้างฝาเลย

หลวงพ่อ : นั่นล่ะ ฉะนั้นเขาจะพูดอะไรกับเราตอนนี้นะ เรารู้ว่าพวกนี้ทำใจยากน่าดูเลย แต่ตอนนั้นนะ เขามองผิด เขามองผิด เราถึงเคารพหลวงตามาก หลวงตาท่าน ถ้าประสาเรานี่กับเรานี่นะ โห! กลางศาลานี่ ด่าเช้าด่าเย็น เราโดนด่ากลางศาลาวันหนึ่ง ๓ รอบ ๔ รอบ

โยม ๒ : (หัวเราะ) ทดสอบ

หลวงพ่อ : ฮึ! มันเป็นเทคนิค ท่านสอนเราอย่างนี้ พวกไอ้เส็งพวกอะไรนี่ เส็งบ้านตาดน่ะ เส็งสูงๆ นะ เส็งเจ๊กน่ะ บางที เส็งมาคุยกับเราเลยนะ แบบว่าเพื่อนกันน่ะ พูดเล่นน่ะ “แหม! วันนี้กูนึกว่ากูจะไม่ได้กินข้าวแล้ว” เพราะหลวงตาด่าเราอยู่ไง บอกวันนี้กูนึกว่ากูไม่ได้กินข้าวแล้วมึง ด่าเราทั้งวันน่ะ “แหม! โชคดีฉิบหายได้กินข้าว” เขาแหย่ ให้พรไง ให้พร แล้วท่านประสาเรากำลังภาวนาอยู่ เทคนิคของท่าน เพราะอารมณ์มันยึดความรู้สึกของตัว “ยถา วาริวหา” ท่านซักทีละตัว คือท่านตั้งใจให้ผิด โยมจะท่องมาดีขนาดไหนล่ะ ไปไม่รอดหรอก

คือท่านจะซักทีละตัว ยะ หรือ ยัด ผิดอยู่ ๒ ตัว ยถา กะ ชันตุ หรือ ฉะตุ ชันตุ ชันหรือฉะ ฉะตุ หรือชันตุ อู้ย! ไล่ทีละตัว ผิด ๒ ตัว พอผิด ๒ ตัว ใส่เลย ใส่เลยต่อหน้าเลย โอ้ คนเต็มเลย “ไอ้พระขี้เกียจ ไอ้พระโง่ ไอ้พระไม่เอาไหน เดี๋ยวใคร พระหมู่เอาหนังสือไปให้มันท่องนะ ไอ้พระไม่เอาไหน มันขี้เกียจ ขี้คร้าน”

ไอ้เราแปลกนะ นั่งฟัง มันคิดในใจ ขี้เกียจตรงไหน เนสัชชิกไม่กินข้าว เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน เดินทั้งวันทั้งคืนเลย ๗ วัน ๗ คืนน่ะ มันขี้เกียจตรงไหน มันขี้เกียจอย่างไรล่ะ ท่านก็ใส่นะ ไอ้นี่ก็รับ รับตลอดเลย พอฉันเสร็จ อะไรเสร็จลงมา ไอ้เส็งก็ล้อเล่น เพื่อนกันไม่เป็นไรหรอก ล้อเล่นก็สนุก กลับเข้าทางจงกรม พอเสร็จแล้ว นี่เราได้เทคนิคมาเยอะแยะแล้วนี่ โอ้โห ท่านให้มาอาวุธเต็มไปหมดเลยน่ะ โอ้ ทั้งสิ่ว ทั้งค้อน เต็มไปหมดเลย เข้าทางจงกรมเลย ท่านว่าด้วยเหตุผลอะไร ท่านพูดอย่างไร แล้วเราเป็นอย่างไร โอ๋ ไล่กันอยู่หลายวันนะ นี่ไม่ทันกันหรอก

อย่างที่โยมพูดนะ จี้เข้าไปๆ ไม่มีทางน่ะ นี่ขนาดว่า ให้ ท่านให้เราแล้วนะ ยังรับไม่เป็นเลย ยังไม่รู้ว่าใช้อย่างไร แล้วโยมบอกให้จี้เข้าไป จี้เข้าไปก็ตาย พอท่านให้มาปั๊บ เข้าทางจงกรม วันนั้นเดินจงกรมอยู่หลายวันนะ พอมันปิ๊ง โฮ้โฮ! ขี้เกียจอย่างนี้เอง อย่าถนอมอารมณ์ของตัวเอง อย่ายึดความคิดความเห็น มันไม่พลิกไง

โยม ๑ : ต้องให้พร่อง.....

หลวงพ่อ : โอ้โฮ! พอมันปล่อยนะ อ๋อ! ไอ้ห่า! แม่งขี้เกียจ แค่นี้ มันก็เหมือนมหายานสว่างโพลงน่ะ เห็นคนมาหามาก ทางลัดสั้น แค่ก้าวข้ามประตู กูก็บอกไอ้แค่ก้าวข้ามประตูก็เหมือนที่หลวงปู่มั่นสอนนี้แหละ ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นน่ะ แต่กว่ามันจะกระดิกหูได้ กว่ามันจะแลบลิ้นได้ เหนื่อยฉิบหายเลย

ไอ้นี่กว่ามันจะสว่างโพลง ไอ้นี่ สั้นๆ สว่างโพลง ลัดสั้นสว่างโพลง ลัดสั้นๆ ทางลัด กูบอกลัดลงนรกไง พวกมึงน่ะลัดลงนรก ถ้าทางลัดความสั้น ความสะดวกมี พระพุทธเจ้าสอนพวกมึงแล้ว ในจักรวาลนี้ ในวัฏฏะนี่ ใครจะมีวุฒิภาวะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าไป แล้วถ้ามันมีจริงนะ พระพุทธเจ้าจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ พระพุทธเจ้ารักพวกเรา ถนอมพวกเราจะตาย ทำไมพระพุทธเจ้าไม่บอกพวกมึง

มันเป็นโวหาร มันเป็นคำสอน นิพพานอยู่ในขี้ นิพพานอยู่ในสัตว์ ก็พวกเรา นิพพานเราเคารพบูชากันไง เราก็แบบว่ามันสุดเอื้อมไง แต่นิพพานอยู่ในขี้ นิพพานอยู่ในสัตว์ นิพพานอะไร ให้เห็นว่า เรานี้ทำได้ไง คำสอนนี้เพื่อไม่ให้เรายึดมั่นถือมั่นไง คำสอนเพื่อให้เราสลัดทิ้งไง แต่มันเป็นคำสอน มันเป็นโอวาท

โยม : เขา............... (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : เขาไปทำ..เป็นพิธี เขาทำวิธีปฏิบัติไง

โยม ๑ : แล้วทำไมมีเสียง อะไรคืออะไร เขียนทำเป็นรูปวงกลม ตัวเองก็ไม่รู้จักคืออะไร

หลวงพ่อ : โธ่ ด๊อกเตอร์เขาเขียนมาให้ เขาเขียนมาแจกลูกศิษย์ไง แล้วลูกศิษย์เขาก็เอามาให้เราดู มันเป็นการ์ดทองไง “จิตพระอรหันต์” อธิบายเลยนะ แล้วลูกศิษย์เขาเคารพบูชาเลยนะ เอามาให้เรา เอามาถามเรานะ นี่ลูกศิษย์เราเอง บอกมึงรักมึงชอบไหม ไม่ชอบ กูฉีกทิ้ง ฉีกต่อหน้ามันเลย

“จิตพระอรหันต์ไม่มี พระอรหันต์มีจิตก็มีภพ” มึงอย่ามาแอ๊ก อยากจะอวด เขียนโศลกไง จิตพระอรหันต์ พระอรหันต์มีจิต จิตคือภพ จิตคือภวาสวะ “ถ้าพระอรหันต์มีจิต ไม่ใช่พระอรหันต์”

หลวงตาบอกเลย “ธรรมธาตุ” ถ้าท่านบอกเวลาท่านพูดถึงจิต พระอรหันต์อะไรมีจิตนี่เขาสอนเด็กไง เหมือนเด็กนี่มันไม่รู้เรื่อง ก็เปรียบเทียบว่าจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น แต่ความจริง จิตไม่มี ไปถามหลวงตาได้ หลวงตาท่านบอกเป็น “ธรรมธาตุ” เป็นสัจธรรม พูดว่าอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น

โยม ๒ : เพราะอะไร พูดว่าอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นเลย

โยม ๑ : พูดไม่เข้าใจ เพราะมันเหนือคำพูด เหนือสมมุติ

หลวงพ่อ : ไม่! ๆ ถ้าพูดก็เป็นสมมุติแล้ว พูดก็คือมีสิ่งเปรียบเทียบ ถ้ามีสิ่งเปรียบเทียบ ในโลกมันก็ต้องมีหนึ่ง มันไม่มีสิ่งใดคงที่ มันแปรสภาพ ว่างคู่กับไม่ว่าง ใสคู่กับไม่ใส แต่คำพูดที่พระพุทธเจ้าสอนออกมานี่มันเป็นกิริยา คือเป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ธรรม บัญญัติต้องข้ามทั้งสมมุติบัญญัติ ถึงเป็นวิมุตติวิมุตติพูดไม่ได้ แต่ นี่ไง

โยม ๒ : เข้าใจค่ะท่านอาจารย์

หลวงพ่อ : ฮึ ถ้าคนอธิบายธรรมะนะ อย่างพวกเขาอธิบาย ถ้าคนปฏิบัติไม่ถึง อธิบายร้อยคำก็ผิดร้อยคำ พระอรหันต์พูดร้อยคำก็ถูกร้อยคำ เพราะพูดออกมาจากความเข้าใจ เพราะพูดออกมาจากความถูกนั้น คำพูดเหมือนกันน่ะ แต่พระอรหันต์พูดถูก คนมีกิเลสพูดผิด เพราะ ถ้าเราพูดปั๊บ เอ็งพูดหมายความว่าอะไร เพราะเอ็งตั้งความหมายไว้ผิด ตั้งตรงผิดเอ็งพูดมาถูกได้อย่างไร ที่เราฟังเทศน์อยู่นี่ ตอแหลมานี่ ฉีกทิ้งหมด

เมื่อ ๒ วันนี้เขามา มีพวกลูกศิษย์เรานี่ เขาว่า.....เขาแนะนำมา เขาไปหาพวก.....พวกอะไรนี่ทาง.....เขาการันตีกันมา เขาบอกว่าอย่าปฏิบัติโดยสาวกภาษิตเลย ต้องปฏิบัติตามพุทธวจนะ ต้องพุทธภาษิตอะไรนี่ เขาก็ไปพิมพ์พระไตรปิฎกมา จะเอามาให้เราแจก เราบอกไม่แจก แจกไม่ได้ เอ็งเอากลับไป ถ้าไว้ให้กู กูเผาทิ้งหมดเลย

เขาบอกว่านี่มันถูกนะ พระไตรปิฎกทำไมแจกไม่ได้ เอ็งแจกได้ ไปที่มหามกุฏฯ มหาจุฬาฯ ไปแจกได้ที่สำนักเรียน แต่นี่สำนักปฏิบัติ ทหารออกรบไม่ต้องการตำรา ตำราศึกษามาพร้อมแล้ว ถึงออกรบ แล้วบอกนี่พุทธวจนะ เขาบอก แล้วเราไม่ได้ดูไง เพราะเราดูทีหลังเราถึงเห็น

ถ้าวันนั้นอยู่นะ เสร็จกูหมด เขาบอกเขาไป คัดลอกมาจากธรรมะจากพระโอษฐ์ของ.......น่ะ เขาบอกว่า อันนี้ตัดทอนจาก เขาพูดคำนี้ไว้ไง เขาบอกในพระไตรปิฎกมีอรรถกถา แล้วอันนี้มันเป็นพระไตรปิฎกจากพระโอษฐ์ ถ้าวันนั้นเราอ่านตรงนี้ก่อนนะ เราจะบอกเลย

.......รังเกียจอรรถกถาของพระพุทธโฆษาจารย์ แต่คำเขียนของ.......ก็คืออรรถกถาของ....... นี่เห็นไหม เราบอกว่า ถ้าไม่เป็นนะ ถ้าพูดร้อยคำก็ผิดร้อยคำ ถ้าเป็นนะ พูดร้อยคำก็ถูกร้อยคำ แล้วทำไมถึงว่าอธิบายไม่ได้ อธิบายได้ แต่ต้องคนรู้อธิบาย ถ้าคนไม่รู้เสือกอธิบายน่ะ ผิดหมดเลย

โยม ๑ : อย่างแค่ แค่ของเซ็นนะคะ ๖ องค์นี่นะคะ ก็หลวงตาบอกว่าก็มี ท่านเว่ยหล่างที่ท่านได้อนาคามี แต่ท่านยังมีกิจไงคะ ยังมีกิจ กิจหนึ่ง จิตหนึ่ง

หลวงพ่อ : นั่น ไม่ใช่ เราก็รู้ นี่เข้าใจผิด เพราะเราดูหมดน่ะ เราตอนบวชเราก็จะหาทางลัด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่า ไอ้นั่นน่ะ เขาจะมอบตำแหน่งใช่ไหม ก็หาคน ที่แบบว่าต้องเขียนได้ถูกไง ชิงเชานี่เขาเป็นศิษย์แบบที่ว่าได้ฝึกมาเต็มที่ เป็นศิษย์มีแววที่ทุกคนเห็นว่าคนนี้ต้องเป็นเบอร์ ๒ ต้องรับตำแหน่งนี้ต่อไป

แต่ทีนี้คนๆ นี้เกิดไม่ถึง พอไม่ถึงอาจารย์เขาก็ พูดถึงถ้าอย่างนั้นปั๊บธรรมะเขาไม่ถึงที่สุด คือให้ไปอะไรไป มันชี้นำให้เขาไม่ถึงที่สุดได้ ก็เลยต้องออกอุบาย ให้เขียนโศลกไง ก็เขียนแสดงภูมิน่ะ ถ้าเคารพแล้วก็จะได้ ก็เขียนว่า “กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส หมั่นเช็ดถูทั้งวันๆ แล้วกระจกจะเลอะอะไร”

นี้พอทุกคนมาเห็นก็ตั้งกระถางธูปเทียนกราบกันใหญ่เลยนะ นึกว่าสุดยอด ทีนี้เว่ยหล่างนี่เขาอยู่ที่นั่น เขาเป็นคนอยู่ในครัว เขาเป็นคนตำข้าว ไม่รู้หนังสือ เห็นเขาอ่านอะไรกัน เขาออกมานี่ เขาเขียนอะไรกันน่ะ อ่านให้ผมฟังหน่อย ผมไม่รู้หนังสือ อ่านให้ฟังแล้วนะ เขียนให้ผมมั่ง เขียนให้ผมมั่ง เขามีอนาคา นี่อนาคา

“กายก็ไม่มี จิตก็ไม่มี แล้วฝุ่นจะเกาะอะไร” เห็นไหม คนเป็นน่ะ มันฟังมันรู้หมดล่ะ นี่สังฆราชเข้ามาเขากลัวว่าเว่ยหล่างจะเป็นโทษไง ก็บอกว่าให้เอารองเท้านี่ลบทิ้งซะ ไอ้นี่มันไม่ดี เพราะว่าคนๆ นั้นเขา ชิงเชานี่เขาเป็นศิษย์เอก เขามีรากฐาน เขามีทุกอย่าง ถ้าบอกว่าไอ้นี่ถูกนะ ไอ้คนนี้โดนฆ่าตายเลย

นี่พออย่างนั้นเสร็จแล้วนะ สังฆราชก็เข้าไปหาเว่ยหล่างที่อยู่ในครัวน่ะ ไปถึงก็คุยธรรมะปั๊บ เอาไม้เท้านี่เคาะที่ครก ๓ ที อนาคา ป๊อก ป๊อก ป๊อก นี่มันมีเลศนัยเยอะ นี่พวกเซ็นเขาจะมีตรงนี้เยอะ ป๊อก ป๊อก ป๊อก ๓ ที ตี ๓ นี่ให้เขาไปหาครูข้างในกุฏิ ตี ๓ นี่เข้าไปหาในกุฏิ

กายก็ไม่มี จิตก็ไม่มี หลวงปู่ฝั้นก็ติด หลวงปู่คำดีก็ติด หลวงปู่บัวก็ติด ติดตัวนี้หมดเลย ไม่มี ว่างๆ แล้วเขาก็สอนกันน่ะ ว่างๆ ใครมาหาเราก็ว่างๆ นะ ว่างๆ นี่ว่างอนาคานะแต่เริ่มต้น ว่างๆ ว่างแบบเก็บกดไม่มีห่าอะไรเลย ถ้าว่างๆ แบบอนาคานี่นะ ว่าง

แล้วหลวงตาพูดประจำนะ โมฆราช เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง เห็นไหม ว่างหมดเลย หลวงตาตอนที่ท่านเป็นนะ ท่านบอกว่า เวลาจิตมันว่างหมดอย่างนี้ โห จิตทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ มองไปไหนใสทะลุไปหมดเลย มันน่าติดน่ะ

แต่นี้พอขั้นของหลวงตาท่านบอกพอมองอย่างนี้ปั๊บนี่ ธรรมมันเกิด ธรรมะมาเตือนไง ความสว่างไสวนั้นเกิดจากจุดและต่อม หลวงตาบอก พูดชัดๆ เลย ธรรมะคือ อำนาจวาสนาบารมี ธรรมะเกิด ธรรมะนี่เทศน์ให้ฟังเลย ที่แบบหลวงปู่มั่นอยู่ในป่า แล้วเทศน์ตลอด มัน ผลัวะ! เลย แต่ก็ยังไม่รู้ แต่ ผลัวะ! ไปแล้วนี่ เหมือนไก่ตาแตก เหลอหลาเลย แล้วกูจะไปหาที่ไหน ต่อมอะไรจุดอะไร

ท่านบอกว่า ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ตอนนั้นนะท่านสำเร็จไปแล้วด้วย จะกลับไปถามหลวงปู่มั่นเลย จุดอะไรต่อมอะไร ท่านก็จะชี้กลับมา แต่ธรรมดาธรรมชาติมันส่งออก พอจุดและต่อมๆ ที่ไหนวะ จุดและต่อม มันก็ไปหมด ทีนี้พอโมฆราชเห็นไหม เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฐิ ใครรู้ว่าว่าง เราพูดถึงของ ท่าน.......ที่เวลาเขาสอนกันนะ ไม่ใช่ตัวกูของกู เราบอกว่า

“ไม่ใช่ตัวกูของกู คือ กู”

เพราะกูเป็นคนพูด ว่าไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู กูคือกูพูด ก็คือกูรู้ว่าไม่ใช่ของกู ไม่ใช่ตัวกู คือ กู ไง นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความว่าง นี่ เคาะ ป๊อก ป๊อก ป๊อก ๓ ที อนาคาตอนนั้น แต่ตอนที่เข้าไปหาสังฆราช สังฆราชสอนต่อไป พอสอนเสร็จแล้วนี่ สังฆราชให้ไอ้นี่ไปเลย ให้บาตร ให้จีวร แล้วมึงหนีไป มึงโดนฆ่าแน่นอน เว่ยหล่างได้เป็นตำแหน่งสังฆราชองค์ที่ ๖ องค์ที่ ๗ น่ะ แล้วเราเห็นว่า มันเป็นขนาดนี้ ก็เลยตัดตรงนี้ทิ้งละ

โยม ๒ : องค์สุดท้ายเลยด้วย ต่อจากนั้นมาไม่มีใครได้ต่อไปแล้ว

หลวงพ่อ : ไม่ให้ นี่คือปัญญาวิมุตติ แต่นี่พวกที่มานี่ หลวงปู่ดูลย์ก็สอนถูก หลวงปู่ดูลย์นี่สอนถูกหมดเลยนะ เพราะหลวงปู่ดูลย์บอกว่า “ดูจิต จนจิตเห็นอาการของจิต” เราแย้งตรงนี้บ่อยมาก “จิตเห็นอาการของจิต”

แต่เขาบอกให้ดูเฉยๆ แล้วคำว่าดูเฉยๆ นี่ ทุกคนจะบอกว่าเรานี่ เพ่งโทษเขา เรานี่ไปติเตียนเขา ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไรรู้ไหม ไม่ใช่เพราะเขาบอกให้ดูจิตเฉยๆ ดูจิตเฉยๆ แล้วเขาเอาหนังสือมาให้เรา เดี๋ยวเอาให้ดูก็ได้ เขาจะส่งไปพวกลูกศิษย์เรานี่ เขาก็งง เขาก็เอามาให้เราดูน่ะ เราก็มาดูคำตอบของเขานี่

เขาบอกขณะจิตนี้เป็นอัตโนมัติ มันเป็นอัตโนมัติ มันจะเป็นปัญญา นี่มันพูดผิดหมด ขณะจิตที่เป็นโสดาบันมันไม่เป็นอัตโนมัติ ถ้ามันอย่างนี้ปั๊บ คือคำสอนเขาอย่างนี้ปั๊บ ไปดูผลลัพธ์ของเขาไง ผลลัพธ์ที่เขาพูดว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างนี้ มันบอกถึงคำสอนก็ผิด ผลลัพธ์ก็ผิด มันเป็นไปไม่ได้!

หลวงปู่ดูลย์สอนหลวงปู่กิม

“กิมเห็นจิตไหม” “เห็นครับ”

“กิมเห็นอวิชชาไหม” “เห็นครับ”

“พิจารณามัน ฆ่ามัน”

หลวงปู่ดูลย์บอกว่า “ความคิดทั้งหมดเป็นสมุทัย ให้ผลเป็นทุกข์ ต้องหยุดความคิด การหยุดความคิดนั้นก็ต้องใช้ความคิด”

ต่อไปไอ้โศลกท่อนนี้จะโดนตัดทิ้ง ว่าการหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด เพราะอะไร เพราะมันหยุดความคิดกันโดยการเพ่ง แต่การหยุดความคิดต้องใช้ความคิด เราดูหนังสือหลวงปู่ดูลย์มาตลอด ที่เขาพิมพ์แจกๆ กันอยู่ นี่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขาเข้าใจตรงนี้ไม่เป็น พอเขาเข้าใจ ไม่ได้ปั๊บ เขานึกว่าเป็นส่วนเกินเขาจะลบทิ้ง พอลบทิ้งปั๊บ ก็เข้าไปดูนี่ของเขา คนเข้าไม่ถึง มันจะทำให้ตำราเขาบิดเบือน มันจะไปทำ.....

โยม ๑ : ก็ท่านได้อย่างรวดเร็ว แล้วท่านได้แป๊ปเดียว

หลวงพ่อ : ใคร

โยม ๑ : หลวงปู่ดูลย์น่ะค่ะ

หลวงพ่อ : ไม่ ไม่รวดเร็วๆ

โยม ๑ : ก็เห็นท่านบอกท่านพระอาจารย์มั่น ที่ทำให้ท่านพระอาจารย์มั่นไปเชียงใหม่ ท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอก ที่ผมได้นี่ ได้ ๓ ส่วนยังเหลืออีกส่วนเดียวอะไรนี่ ใช่ไหมคะ แสดงว่าตอนนั้นท่านได้เป็นอนาคามีแล้ว

หลวงพ่อ : ไม่ ไม่รวดเร็ว แต่เพียงแต่ว่า การกระทำของท่านมันอยู่ข้างใน เวลาไม่รวดเร็วหรอก อย่างเช่นมีคนมาถามเราบ่อยมากเลย ว่าแม่ชีแก้วเป็นขิปปาภิญญาหรือเปล่า เพราะทำได้รวดเร็ว เราบอกว่า แม่ชีแก้วนี่นะ

โยม ๑ : ไม่ใช่

หลวงพ่อ : ช้าซิ เราเปรียบเทียบไง แม่ชีแก้วเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นมาก่อน แล้วก็มาอยู่กับหลวงปู่กงมา แล้วหลวงปู่ฝั้นไปแก้ จนมาเจอหลวงตา แล้วหลวงตาท่านแก้อยู่ ใช่ขิปปาภิญญาไหม แต่คนไปเข้าใจว่า ขณะที่หลวงตาท่านแก้นี่มันรวดเร็ว

ย้อนกลับมาที่หลวงปู่ดูลย์นี่แหละ เพราะว่าการปฏิบัตินะ ถ้ารวดเร็วนี่ พระพุทธเจ้านั่งปั๊บคืนเดียวพระอรหันต์เลย ยสะฟัง ๒ หนใช่ไหม พาหิยะฟังหนเดียว รวดเร็วเป็นอย่างนี้เห็นไหม ฟัง ผลัวะ! เป็นพระอรหันต์เลย แต่ไปดูเบื้องหลังสิ อดีตชาติ

โยม ๑ : เขาก็จะต้องเสือกคลานมาเยอะมาก

หลวงพ่อ : เยอะมาก ทีนี้ย้อนกลับมาหลวงปู่ดูลย์

โยม ๑ : จะได้บารมี

หลวงพ่อ : ใช่

โยม ๑ : แล้วนี่ อันนี้ทำให้ท่านอาจารย์มั่นที่ไปเชียงใหม่ ลูกศิษย์ทำผิดขนาดนี้

หลวงพ่อ : ไม่ใช่ๆๆ เวลาพวกโยมนี่นะ เวลาพวกโยมเก็บข้อมูล เราฟังอยู่ เวลาพวกโยมถามหลวงตา ข้อมูลคลาดเคลื่อนหมด ข้อมูลคลาดเคลื่อน เพราะว่า คำถามนี่ๆ หลวงปู่มั่นไปเชียงใหม่เพราะเรื่องของหลวงปู่มั่นเอง เพราะหลวงปู่มั่นไปเชียงใหม่ ท่านจะพูดตลอดเวลาว่า เรายังไม่จบๆ หมู่คณะนี้หนักมาก เรายังไม่จบ กรณีหลวงปู่มั่นนี่เราเชิดชูมาก เพราะพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้แล้ว “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

โยม ๑ : ลงมา ชุดนี้เป็นทีมเวิร์คของท่านลงมา

หลวงพ่อ : ถ้าไม่มีหลวงปู่มั่นเป็นพระโพธิสัตว์มา พวกเราสาวกะจะไม่มีปัญญาทำได้ขนาดนี้ พระจอมเกล้าฯ ยังสึก แต่พระจอมเกล้าฯ ก็มาเกิดเป็นหลวงตา พระจอมเกล้าฯ ยังสึก

โยม ๑ : แต่ท่านสวรรคต ไปด้วยท่องพุทโธๆๆ ไปจนสวรรคต

หลวงพ่อ : ไม่ แม่ชีแก้วบอกว่าตั้งแต่เป็นพันธุละแล้ว

โยม ๑ : แต่คุณแม่แก้วพูดจริงเหรอ รู้สึกคนอื่นมาพูดมากกว่า เพราะดิฉันก็ไม่เคย.. ไม่ยอมรับ เพราะดิฉันไม่เคยได้ยินคุณแม่แก้วพูดเอง

หลวงพ่อ : นี่ไงข้อมูล เวลาข้อมูลต่างกันละ อันนี้มันอยู่ในเทป แม่ชีแก้วอัดเทปไว้ แล้วบอกว่า ถ้ายังไม่ตายห้ามเปิด แล้วก็มาเปิดกันที่บ้านตาด หลวงตาพูดบ่อย ว่าเราไม่เคยบอกใครเลย ว่าเราปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน ทำไมแม่ชีแก้วไปถามหลวงตาว่า หลวงตาเคยปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่า หลวงตาบอกว่าไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย แต่ทำไมแม่ชีแก้วรู้

โยม ๑ : ทำไมถึงรู้นี่ แต่หลวงตาก็ไม่เคยบอกใช่ไหม เพราะนี่ยังรู้เลย เพราะลักษณะมันบอก (หัวเราะ) พุทธภูมิมันก็บอกอยู่ ว่าจะต้องเป็นอย่างไร

หลวงพ่อ : ใช่ ตรงนี้มันพูด เราจะบอกพระเรานี่มันอยู่ที่พฤติกรรม มึงจะอวดรู้ มึงจะเก่งขนาดไหนก็แล้วแต่นี่ พฤติกรรมไง มันสมกับฐานะไหม ฉะนั้นกรณีอย่างนี้ พูดอย่างนี้ปั๊บ เราถึงเสียใจมาก ตอนที่หลวงตาออกมาเคลื่อนไหว เรื่องสังฆราช แล้วพวกนั้นออกมาโจมตีหลวงตา พวกเรานี่แหละ มันขัดแย้ง

เราพูดไว้ในธงธรรมนะ ธงธรรม กิเลสตบตา เราด่าพวกนี้หมด เราด่าพระพวกเรานี่แหละ บอก ถ้ามึงไม่เชื่ออย่างนี้นะมึงก็ไม่ใช่ไม่เชื่อหลวงตาคนเดียว มึงก็ไม่เชื่อหลวงปู่มั่นด้วย เพราะหลวงปู่มั่นบอก พยากรณ์ไว้ว่ามีพระหนุ่มๆ องค์หนึ่ง ที่จะเข้ามาหาเรา ที่จะมาทำประโยชน์กับศาสนา

ถ้ามึงไม่ฟังหลวงตานี่ เท่ากับมึงไม่ฟังหลวงปู่มั่นด้วย เพราะพฤติกรรม พฤติกรรมคือฐาน ที่ท่านทำขึ้นมา มันฟ้อง แล้วท่านก็พูดเอง ท่านบอกท่านนึกถึงเบื้องหลังแล้วภูมิใจมาก ท่านพูดกับเราบ่อย นึกถึงเบื้องหลังภูมิใจมากๆ นี้ความเบื้องหลังคืออดีตมีประโยชน์อะไร

พระที่มีคุณธรรมในหัวใจนี่ ท่านทำประโยชน์พูดเพื่อประโยชน์เท่านั้น อะไรไม่เป็นประโยชน์พูดออกมาทำไม นี่ถ้าพูดอย่างนั้นไป นี่ขนาดไม่พูดอย่างนี้ ทุกคนยังเอาแบบเอาอย่าง ถ้าพูดอย่างนั้นไปนะ พระเปรต พระผีจะเกิดขึ้นมาเยอะแยะเลย มันจะเอาเรื่องที่หลวงตาเล่านี่ แล้วก็ไปสร้างเป็นพ็อตเรื่องของมันว่า กูนี่เป็นอย่างนั้น

พวกนี้อดีตมันยังไม่รู้จักตัวมันเองเลยนะ แต่ถ้ามันได้ยินของใครมานะมันจะสร้างว่าเหมือนเลย ไอ้พวกชั่วนี่แล้วตรงนี้ ตรงที่อย่างที่โยมว่า หลวงปู่ดูลย์ไปพูดกับหลวงปู่มั่น เราไม่เชื่อ เพราะเราเชื่อวุฒิภาวะของหลวงปู่มั่นเรามาก

โยม ๑ : แต่พูดจริงนะคะ เพราะว่าหนังสือประวัติที่ท่านทำของหลวงปู่ดูลย์นี่

หลวงพ่อ : ที่ไหน

โยม ๑ : ลูกศิษย์ท่านเป็นคนเขียน

หลวงพ่อ : ทั้งนั้น

โยม : แต่ก็ไม่แน่นะค่ะว่าความจำของพระธรรมดานี่จะเขียนออกมา แล้วเขาแนะก็เชื่ออย่างนั้นด้วย

หลวงพ่อ : เราไม่เชื่อเลย เราเชื่อหลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นพระอรหันต์ เราเชื่อคำสอนหลวงปู่ดูลย์เพราะเราพิสูจน์มาหมดแล้ว แต่! แต่ไอ้ตรงนี้ ไอ้ตรงที่เวลาพูด ดูกรณีประวัติหลวงปู่มั่นของอาจารย์......เขียนสิ เห็นไหม หลวงปู่มั่นชมเราดีอย่างนี้ หลวงปู่มั่นชมเราดีอย่างนั้น คนเขียนนี้เห็นไหม คนเขียน เขียนเพื่อเชิดชูตัวเอง เพื่อประโยชน์กับตัวเอง กับคนเขียนหลวงตานี่ ท่านถอดหัวใจเขียน เพื่อเชิดชูหลวงปู่มั่นเลย มันคนละเรื่องๆ

โยม ๒ : หลวงตาท่านเขียนเชิดชูครูบาอาจารย์ไง

หลวงพ่อ : ใจลงไง ถ้าใจลงเป็นอย่างนี้ นี่ถึงบอกว่า พฤติกรรมไง ถ้ามันเป็นธรรม พฤติกรรม มันชัดเจนเลย ถ้าไม่เป็นธรรมนะ มันจะอวดตัวขนาดไหนนะ แล้วพฤติกรรมนี่ กูเกลียดฉิบหายเลย! (หัวเราะ)

โยม ๒ : (หัวเราะ) ท่านอาจารย์ๆ ดุลงอีกนิดหนึ่ง

หลวงพ่อ : เฮอะ! มันไม่พูดอย่างนี้ มันไม่ถึงใจ มันเจ็บปวด มันเจ็บมาเยอะ

โยม ๒ : คือแบบว่า เป็นลักษณะของท่านอาจารย์ ใจอย่างนี้ ใจอย่างนี้ก็ต้องออกมาอย่างนี้ แต่บางองค์ใจอย่างนี้แต่ออกไปอย่างอื่น มันก็ไม่ได้ ก็รับไม่ได้

หลวงพ่อ : นี่ไง มันกะล่อนไง

โยม ๒ : ก็รับไม่ได้ พอรับไม่ได้ก็วงแตก

หลวงพ่อ : ไม่เป็นไร ฮึ เราต้องการให้แตก เราต้องการให้แตกนะ

โยม ๒ : แต่บางครั้งวิธีการมันไม่แตก วิธีมันกลับไปสร้างศัตรูนะท่านอาจารย์

หลวงพ่อ : เฮอะ! เราก็ต้องการให้แตกนะเพราะอะไรรู้ไหม

โยม ๒ : เพราะอะไร

หลวงพ่อ : เพราะเราต้องๆ ไอ้นี่ ดีเราคบนะ เราพูดกับโยมประจำ เคยเห็นเราพูดถึงหลวงปู่เพียร หลวงปู่บุญมีใหญ่ หลวงปู่อุ่น ว่ามีความเสียหายอะไรไหม ท่านเป็นพระที่ดี ถึงจะปฏิบัติเรื่องคุณธรรมอีกเรื่องหนึ่ง ท่านเป็นพระที่ดี

อย่างหลวงปู่ลี โอ้โห! เราเชิดชูมากเลย หลวงปู่ลี นี่เราเชิดชู แต่พระที่ดีเราก็เชิดชู แต่ต้องให้วงแตกหมายความว่า ถ้าแร่ธาตุ ความผสมของธาตุที่มันเข้ากันไม่ได้นี่ มันไม่ควรให้เขามาเข้ากัน เป้าหมายเราทำไมเราสร้างวัดหลายวัด พระของเรานี่ เราให้ไปเที่ยว แต่ถ้าไปเที่ยวหรืออะไรมีประสบการณ์เข้ามานี่

ถ้าอยู่กับเรานี่ เราต้องให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าผิดนะเราให้ออกหมด เพราะ! เพราะในการปฏิบัตินี่ หลวงตาเวลาพระไปธุดงค์กลับมา ท่านว่าไงรู้ไหม “ไปธุดงค์กลับมาคราวนี้ได้ไปเอายาเสพติดมาเท่าใด” ถ้าออกไปในสังคมแล้วมันไปซับสิ่งนั้นมา เด็กเรา เหมือนยาเสพติด ถ้าเราไปเสพมาสักครั้งสองครั้งมันก็จะมีความติดเชื้อนั้นไป

ฉะนั้นประสาเรา เราต้องให้แยกอย่างนั้น เราจะคัดเลือกว่าอย่างนั้นเลย แล้วเราคิด เราคิดของเราเอง เรามั่นใจเราเองว่า เราสามารถบริหารจัดการองค์กรของเราได้ นี้พอเราต้องการบริหารจัดการองค์กรของเราแล้วนี่ องค์กรของเราต้องซื่อสัตย์ต้องสะอาดบริสุทธิ์ ผิดไม่เป็นไร เราบอกเลยนะผิดถูกนี่กูไม่เคยถือเลยนะ เพราะคนมีกิเลสนี่มันผิดเป็นธรรมดา ถ้าความผิดความถูกโดยไม่มีเจตนา หรือผิดแล้วนี่เราแก้ไขนะ กูโอเคเลย

เพราะพระพุทธเจ้าสอนเป็นอริยวินัย ผู้ใดผิดแล้วสำนึกผิด แล้วแก้ไขตัวเอง นี่คืออริยวินัยนะ มีการปลงอาบัตินะ แต่ถ้ามันเป็นผิดโดยสันดาน แล้วมันเข้ามาเพื่อวางยา มันผิดซ้ำผิดซาก อย่างที่โยมพูดน่ะ เขาคิดอย่างนี้ เขาพูดอีกอย่างหนึ่ง อยู่กับเราไม่ได้

แล้วประสาเรานะ เราไม่ต้องการอยู่กับใคร เรามั่นใจมากว่า เราจัดการได้ทุกอย่าง เราจัดการได้ ไอ้พวกนั้นกลัวเราตรงนี้ มีพยายามต่อรองมาเยอะมาก บอกว่า “สงบนี่ทำลายวัฒธรรมของพระกรรมฐาน เพราะไม่เคารพอาวุโสภันเต”

เราบอกว่า อาวุโสภันเตนี่เคารพมากเลย เคารพมากเพราะอะไร เพราะอาวุโสภันเตนี่เป็นธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เราเคารพอาวุโสภันเต แต่เราไม่เคารพความดีและความชั่ว ความชั่วของคนกูไม่เคารพ แต่อาวุโสภันเตกูเคารพ ถ้าเราเจอพระที่ไหน เขากราบเราก็กราบ เหมือนกันทั้งนั้น แต่ใจเรารับหรือไม่รับมันเป็นเรื่องของเรา

แล้วตอนนี้ สิ่งที่.. หลวงตามาหาเรานะ หลวงตามาพูด ตอนที่อยู่โพธารามใหม่ๆ “หงบเอ้ย” เมื่อก่อนพวกนี้เราไม่ทำหรอก บอกว่า

“หงบ หนังสือกับเทป (เมื่อก่อนเป็นเทป) หนังสือกับเทปนี่ เราเห็นว่ามันเป็นประโยชน์มากนะ สมัยเราน่ะ เราทำของเราเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วนี่ มีพวกด๊อกเตอร์เชาวน์ พวกคุณหญิงนงเยาว์ มารับช่วง เราก็ปล่อยเขาไป”

เราก็ยังคิดไม่ถึงนะ คิดไม่ถึงนะ เราก็ยัง เอ๊ะ.. ท่านพูดอะไร แล้วก็มีคนแอบอัดด้วย เมื่อก่อนเราไม่อัดเทปนะ เราอาย

โยม : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : ไอ้ห่า กูเทศน์เอง แล้วกูอัดตัวกูเองน่ะ เหมือนกับคนบ้า เราไม่กล้าทำนะ อายฉิบหายเลย แล้วพวกไอ้โตนี่ขออัดๆ เราไม่ยอม ตั้งแต่ปี ๓๐(๒๕๓๐) นะเราไม่เคยอัดเลย มาเริ่มอัดปี ๓๘(๒๕๓๘) นี่ มาเริ่มอัดเทปปี ๓๘ เกือบ ๑๐ ปีทิ้งให้หายไป แล้วตอนนั้นมันออกมาใหม่ๆ ด้วย แล้วหลวงตามาพูดคำนั้นปั๊บ พระเราทำ เราก็เริ่มทำ

แล้วพอตอนนี้เราซึ้งใจมากเลย เพราะเทป เพราะซีดีนี่มันเหมือนกับเอกสารที่มันเข้าไปในสังคม พอเอกสารเข้าไปในสังคมแล้วนี่ มันจะกรองไง มันเปรียบเทียบได้ มีบางคนก็ลูกศิษย์อาจารย์เขานะ เขามาหาเรา เขาว่าอาจารย์เขาถูกไหมอะไรไหม เราจะพูดไปตรงๆ มันก็เหมือนกับว่ามันหักหาญกันเกินไป เราบอกว่าเอาหนังสือของหลวงตากับหนังสือที่เอ็งเชื่อถืออ่านคู่กันสิ มันชัดมาก แต่ชัดสำหรับพวกเรานะ แต่เขาจะชัดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เราบอกให้อ่านคู่กันดิ

ทีนี้เทปนี่ พอหลวงตาพูดอย่างนี้ปั๊บ แล้วเราออกไป เดี๋ยวนี้นะ มีพวกหมอนี่นะที่ว่านี่ถือนี่มาเลย เอาเทปมาด้วย

“หลวงพ่อ.. ผิด” “อะไรผิดล่ะ”

“ภาวนาผิด” “ทำไมล่ะ”

“ซีดีมันบอกๆ”

หลายคนนะ แล้วถือเทปมาเลย เพราะพวกอภิธรรม พวกนี้เขาบอกไม่ต้องทำสมาธิไง เราโต้แย้งตรงนี้มาก เราบอกอย่างเช่นที่ว่า อย่างที่หลวงปู่มั่นสอนนะ หลวงปู่มั่นในมุตโตทัยสอนว่า “การดื่ม การเหยียด การคู้ ต้องมีสติตลอด” เห็นไหม นี่พระอรหันต์พูด การดื่ม การเหยียด การคู้ ต้องมีสติตลอดเพราะเราฝึก หลวงตาบอกว่าเหมือนโคผูกไว้ เราภาวนาก็ง่าย ถ้าเราปล่อยมันเหมือนโคปล่อย นี่พูดเหมือนกันเลย เหตุผลอันเดียวกัน

แต่พอมาเป็นอภิธรรม คนไม่เป็นสอน ดื่มแล้วนะ ดื่มหนอ พอดื่มหนอแล้วเป็นอารมณ์ที่สอง เอ็งดื่มแล้วทำไมต้องดื่มหนอด้วยวะ ถ้าเราดื่มเรามีสติ นั่นน่ะของจริงปัจจุบัน ดื่มหนอ เหยียดหนอ เพราะถ้าเหยียดไปนะ เหยียดหนอ มันเป็นธรรมชาติไหม

โยม ๑ : ย่างหนอ แล้วก็ยื้อกันจน.....

หลวงพ่อ : มันเข้าถึงจิตไหม

โยม : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : ความจริงกับความรู้สึกเรานะ แต่เราไปสร้างภาพลวงไว้ ให้กิเลสไปอยู่ตรงนั้นนะ นี่เราอธิบายให้เขาฟัง ใครมาเราจะอธิบายให้ฟัง มีมากพวกอภิธรรมมาหาเรานะ “หลวงพ่ออภิธรรมนี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ พระป่าเราก็เป็นวิทยาศาสตร์” ฉีกตรงวิทยาศาสตร์เนี่ย เพราะวิทยาศาสตร์เป็นกฎตายตัว มึงสร้างกฎขึ้นมาอยู่ในกรอบ แล้วคิดในกรอบนี่ กิเลสหลอกพวกมึง

พระพุทธเจ้าให้คิดนอกกรอบ แต่นอกกรอบนี่มันต้องเป็นนอกกรอบแบบปัจจุบัน ไม่ใช่นอกกรอบโดยกิเลส ถ้ากิเลสมันคิดนอกกรอบ มันคิดโดยความกิเลส มันยิ่งทำให้เราทำลาย มากเข้าไปใหญ่ การคิดนอกกรอบ มันบอกดีและชั่ว เราถึงบอกดีและชั่ว เราถามจริงๆ นะ ดีและชั่วนี่เราไม่ค่อยถือเท่าไร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคนผิดได้ถูกได้ ไม่ใช่คนทำชั่วแล้วจะชั่วตลอดชีวิต ไม่ใช่!

โทษนะแต่พระที่เราอยู่ๆ ด้วยนี่ เราอยู่กับเขามานาน เรารู้นี่ พวกธาตุชั่ว มันชั่วโดยธาตุ มันแก้ไม่ได้หรอก เรารู้เลย โธ่ หลวงตานี่รู้อยู่เต็มอก เวลาทำงานกันนี่ พอบอก องค์นี้ อีกแล้วเหรอ อีกแล้วเหรอ ท่านรู้อยู่เต็มอก แต่มันก็หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ วงการศาสนา

โธ่ เมื่อก่อนทำงานกันนะ พอไปรายงานปั๊บ องค์นี้ขวางอีกแล้ว อีกแล้วเหรอ ท่านพูดอย่างนี้ เราฟังแล้ว แหม เศร้าฉิบหายเลยนะ คือท่านก็รู้ แต่ท่านไม่เคยพูดในแง่ลบออกมาข้างนอกเลย แต่หลังไมค์อัดอยู่นะ โยมก็ไม่มีใครรู้หรอก

ฉะนั้นเวลาเราไปชน เราชนอย่างเดียวเลย แล้วสุดท้ายมีอยู่พักหนึ่ง มีคนเข้าไปรายงานไง ว่าเราด่า องค์นั้นเป็นสัตว์อะไรนี่ แล้วก็ปล่อยข่าวว่า เราจะไม่กล้าสู้หน้าหลวงตาแล้วนี่ ไอ้งานนั้น เราไปรู้เรื่องที่งานศพแม่ไอ้เกรียง ธรรมดาเราไม่เคยอย่างนั้นเลยนะ เราจะไม่เคยออกหน้า เข้าเฟรมไม่เคยเลย เราจะมุดดินไปตลอด วันนั้นนั่งหน้าจอเลย หลวงตามา นั่งอยู่นี่ แทนที่หลวงตาจะด่า กลับกลายเป็นว่า เป็นการแสดงของเราเลย เขาท้าว่าเราไม่กล้า แต่เขาไม่รู้ พวกนี้ไม่รู้ว่าหลวงตากับเราพูดอะไรกันไว้ เขาไม่รู้ว่าหลวงตามาหาเรา ๒ คนเขาคุยอะไรกัน

โยม ๒ : แล้วคุยอะไรล่ะค่ะ

หลวงพ่อ : (หัวเราะ) แล้วมันยังไปฟ้องอีกนะ

โยม ๒ : คุยฟันอวิชชาใช่ไหมคะ (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : มันยังไปฟ้องอยู่นะ กูก็ยังงงอยู่ เออ แปลก

โยม ๒ : ท่านอาจารย์กระซิบบอกได้ไหมคะ พระพุทธองค์ท่านตรัสอะไรนะ เพชรน้ำหนึ่งๆ

หลวงพ่อ : เมื่อก่อนมีคนมาอ้างตรงนี้เยอะมาก เป็นพวกพระ เขา.....

โยม ๑ : พระเอาเทป เทิปอะไรมาโชว์ด้วย

หลวงพ่อ : นี่ไง นี่คือขายกินหมด ตอนนี้มันมีเว็บไซต์อยู่เว็บไซต์หนึ่ง พวก.......อะไรนี่ .......มันมีน่ะ หลวงตาชมว่าพระอรหันต์ทั้งหมดเลยนะ เป็นเกือบร้อยองค์ แล้วเขาก็ พริ้นมาให้เราดู เราหัวเราะหมดล่ะ เราบอกว่า เมื่อก่อนหลวงตาพูดจริงสมัยที่เราอยู่กับท่านน่ะ

ท่านบอก ธรรมนั้นคือสิ้นกิเลส แล้วพอตอนหลังเวลากฐินเห็นไหม อูย! คนศาลานี้นะ มีแต่พระที่มีคุณธรรมนะ พระชั้นนั้นๆ นะ คำพูดอย่างนี้นะ มันพูดเพื่อให้ศาสนามั่นคง ให้คนมีศรัทธาเชื่อมั่นในศาสนา นี้พอพูดไปแล้วนี่มันก็เป็นดาบสองคม คือคมหนึ่งก็เชิดชูศาสนา อีกคมหนึ่งพวกชาติชั่วมันก็เอาไปหากิน

แล้วอย่างที่ว่า เอาเทปมา เทปอะไร ถ้าจะเอาเทปนะ ตั้งแต่ปี ๓๐ หลวงตามาชมเราที่โพธาราม เยอะมาก อัดเทปไว้นี่เยอะมากเลย รูปถ่ายนะ ถ้าหลวงตาไม่ออกมาโครงการช่วยชาตินะ รูปถ่ายกับหลวงตาที่มาโพธารามนะ โอ้โห! สุดยอดๆ ที่ข้างนอกไม่มีเยอะแยะเลย แต่เราไม่เคยเอาออกแพลมมาข้างนอกสักอัน แล้วพอมาดูกรณีอย่างนี้เห็นไหม ทำไมเขาเอามาขายกินกัน

โยม ๑ : แสดงว่าลูกศิษย์นี่ ลูกเห็นว่าลูกศิษย์นะ ลูกศิษย์ชอบให้อาจารย์ตัวเอง เป็นพระอรหันต์หมด

หลวงพ่อ : ไม่จริงๆ นี่ชอบพูดนี่ว่าลูกศิษย์ ของเรานี่มีคนมาขอเยอะแยะ อย่างเช่น กรณีป้ายนี่ มีคนมาขอทำป้ายให้เราเยอะแยะมากเลย แล้วพูดคำนี้ เราบอกไม่ได้หรอก เพราะหลวงตาท่านเคยมาหาเราทีหนึ่ง ท่านบอก “หงบ เรารับไม่ได้เลยนะ” ........... พอจะไปนี่ เขาจะมีป้ายบอกไปตลอดทาง แล้วท่านมาพูดกับเรา “หงบ เรารับไม่ได้เลย มาทำอย่างนี้ได้อย่างไร ไปเห็นครั้งแรก เห็นชื่อวัดตกใจเลย

โยม ๑ : อ้าว ไหนบอกว่าท่านเป็นคนให้.....

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)